"3ชม.สินค้าป้ายเหลือง"นาทีทองนักช็อปขั้นเทพ!

โดย....ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์ออนไลน์

ยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้ น้อยคนจะรู้ว่าทุกๆคืนตั้งแต่เวลาจวนเจียน 19.00-22.00 น. ก่อนที่ห้างสรรพสินค้าจะปิด บรรยากาศจะเต็มไปด้วยความคึกคัก เหล่าพ่อบ้านแม่บ้าน คุณลุงคุณป้า คนหาเช้ากินค่ำทั้งหลายจะถือตะกร้า ยืนเกาะรถเข็น เตรียมพร้อมรอคอยเวลาสำคัญ

นั่นคือ "มหกรรมสินค้าป้ายเหลือง"

เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักช็อปว่า "สินค้าป้ายเหลือง" หมายถึงสินค้าจำพวกของสด อาทิ เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ อาหารแปรรูปอย่างลูกชิ้น ไส้กรอก เต้าหู้ กับข้าวกับปลา รวมถึงขนมปังเบเกอรี ซึ่งใกล้จะหมดอายุ ทั้งหมดถูกนำมาลดราคาขายถึง 50-75 %

เรียกว่าลดสะบั้นหั่นแหลกกันเลยทีเดียว

จี๊ แซ่โค้ว อาแปะร่างผอมสูง วัย 70 เศษ ใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น ลากแตะมายืนเกาะรถเข็นรอด้วยสีหน้าขรึม สายตาหรี่มองไปยังพนักงานเทสโกโลตัสในยูนิฟอร์มสีเขียวคนหนึ่งแทบไม่กะพริบ เช่นเดียวกับสายตาอีกนับสิบคู่

"ช่วงนาทีทองไม่เจาะจงหรอกว่าวันไหน เวลากี่โมง ต้องดูอารมณ์คนสั่งยิง และคนยิงด้วยว่าจะมาเมื่อไหร่ (หัวเราะ) บางทีเริ่มยิงขนมปังทุ่มนึง สองทุ่มยิงผัก ผลไม้ ตามมาด้วยพวกไส้กรอก ลูกชิ้น แกงถุงต่างๆ ลูกค้าต้องมาดักรอเอง ส่วนใหญ่ก็ช่วงใกล้ห้างปิดแหละครับ"

"ยิง" ในที่นี้หมายถึงพนักงานจะใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์แปะป้ายสีเหลืองลดราคาลงบนสินค้าแต่ละชนิด

ภาพเหตุการณ์ที่เหล่าบรรดานักช็อปรุ่นเก๋าทั้งหลายเตรียมพร้อมรอสินค้าป้ายเหลือง ไม่ต่างอะไรกับราชสีห์จ้องเหยื่อ ต่างคนต่างหิ้วตะกร้า เกาะรถเข็นไปโฉบดูสินค้าน่าสนใจตามชั้นต่างๆ เพื่อ "ล็อคเป้าหมาย" ทันทีที่พนักงานเดินตรงไปยังชั้นวางสินค้าอันใดอันหนึ่ง ทุกคนก็กรูเข้าไปรุมล้อมอย่างฉับไว

ต่างคนต่างมีเคล็ดลับชั้นเชิงในการจับจองสินค้าโดยไร้การกระทบกระทั่งกัน บ้างมาเป็นคู่แบ่งหน้าที่กัน ผัวบัง เมียเบียดจนสามารถเข้าไปใกล้ๆได้อย่างแนบเนียน บ้างใช้น้ำเย็นเข้าลูบด้วยการถามคนใกล้ๆ "อันนี้เอาไหม ไม่เอาฉันเอานะ" บางคนถึงขั้นใช้วิธี "สร้างแลนด์มาร์ค" ด้วยการยื่นมือไปแตะสินค้าชิ้นนั้น เป็นอันรู้กันว่านี่คือการ"แสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ"เรียบร้อยแล้ว

มือใหม่ที่ไม่ทันเกมจึงต้องเดินคอตกออกมาเงียบๆอย่างผู้แพ้

ผู้สื่อข่าวโพสต์ทูเดย์ออนไลน์ได้ลงพื้นที่สำรวจสินค้าป้ายเหลืองที่ห้างสรรพสินค้าไฮเปอร์มาร์เก็ต ย่านพระราม 1 ,อุตสาหกรรมนิคมบางปู ,และย่านศรีนครินทร์ พบว่ามีสินค้าน่าสนใจหลายชนิด อีกทั้งยังราคาถูกอย่างน่าเหลือเชื่อ

พิซซ่าหน้าปูอัด,แฮม จากราคาปกติ 37 บาท ลดเหลือ 18.50 บาท ขนมปังฝรั่งเศส 32 บาท ลดเหลือ 16 บาท ขนมปังแยมโรล 32 บาทลดเหลือ16 บาท โดนัทหน้านุ่ม 99 บาท เหลือ 49.50 บาท ปลาแซลมอนแปซิฟิก 32.25 ลดเหลือ 16 บาท ทอดมันปลาเส้น 24 บาท เหลือ 6 บาท ปลาน้ำดอกไม้ทอดน้ำปลา 50.25 เหลือ 26 บาท

ข้าวผัดแหนมหมู 30 บาท เหลือ 15 บาท คอหมูย่าง 42 บาท เหลือ 31 บาท แกงจืดเต้าหู้หมูสับ 25 บาท เหลือ 12.50 บาท ผัดผักรวมมิตร 29 บาท เหลือ 14.50 บาท ไข่ลูกเขย 35 บาท เหลือ 26 บาท ผัดกะเพราไก่หน่อไม้ 29 บาท เหลือ 14.50 บาท แกงจืดมะระซี่โครงหมู 30 บาท เหลือ 15 บาท เป็นต้น ผัดหมี่ซัว 15 บาทเหลือ 6 บาท

"ผมไม่ใช่คนรวย แต่ก็ไม่ได้ยากจน ยุคนี้ของแพง อะไรประหยัดได้ก็ควรประหยัด เราต้องใช้เงินให้คุ้มค่าที่สุด อย่างวันนี้ผมเสียเงินไม่ถึง 300 บาท แต่ได้กลับมาทั้งแกงถุงนึง ไส้กรอกชีสถุงนึง ทอดมันอีกสามแพ็ค ผักกาดแก้ว 2 หัว ขนมปังอีกสามสองอย่าง"นักช็อปรุ่นปู่กล่าวอย่างมีชัย

ทนงศักดิ์ ภู่กล้า พนักงานร้านอาหารญี่ปุ่น วัย 27 ปี บอกว่าชอบมาช็อปสินค้าลดราคาก่อนห้างปิดเหมือนกัน

"ผมทำงานได้วันละ 400 บาท ก็ต้องพึ่งพากับข้าวซูเปอร์มาร์เก็ตเหมือนกัน บางวันมาทันก็มีตัวเลือกเยอะหน่อย บางวันหมดเกลี้ยงตั้งแต่ทุ่มนึงก็อด พูดตรงๆรสชาติก็ไม่ได้อร่อยมาก แต่ก็กินได้นะ"

แตกต่างจากหนุ่มอีกรายหนึ่งที่บอกว่าของแบบนี้ "ตาดีได้ ตาร้ายเสีย" หากดูไม่เป็นอาจได้สินค้าหมดอายุ ประเภทแกงบูด ขนมปังขึ้นรากลับมาแทน

"เคยรวมเงินกับเพื่อนๆได้ 500 กว่าบาท ได้ไก่ย่าง ขาหมูทอดเยอรมัน เนื้อแดดเดียว ทอดมันปลา สะใจกันมาก แต่ปรากฏว่ารสชาติแย่สุดๆ กัดไปคำนึงแข็งยังกับพลาสติก ผิดหวังมาก จะไปซื้อเนื้อ ผักสด ไข่ไก่มาทำกินเองก็แย่งคิวกับพวกอาซิ้มอาม่าไม่ทัน"เขาถอนหายใจ

ขณะที่ ณัฐพงษ์ นิราศโศก นักศึกษา อายุ 19 ปี พนักงานพาร์ทไทม์ร้านฟาสต์ฟู้ด หนึ่งในผู้มามองหาสินค้าป้ายเหลือง เล่าอย่างอารมณ์ดีว่า

“ผมเคยพลาดอย่างแรงมาครั้งหนึ่ง มันมีช็อกโกแล็ตราดขนมปังขวดใหญ่ยี่ห้อดีเลย  ลดราคาจากเป็นร้อยเหลือ19บาท ผมพากันซื้อกับเพื่อนกันคนละ2 ขวด ด้วยความรีบกลัวของจะหมด เลยไม่ได้ดูว่ามันหมดอายุวันรุ่งขึ้น พอจ่ายเงินเสร็จผลิกดู ผมก็ฮากับเพื่อนไปเลย แต่เขาก็ลดทุกวันครับส่วนใหญ่ผมซื้อขนมปังไปกิน

หนุ่มน้อยเสริมเทคนิคนิดหนึ่งว่า ถ้าต้องการของถูกลงกว่าเดิมอีกให้รออีกเดี๋ยว พนักงานจะมาติดป้ายลดราคาลงให้ถูกลงกว่าเดิมอีกหากสินค้านั้นยังมีจำนวนเยอะอยู่

"คนก็เยอะเป็นบางวัน ถ้าคนเยอะเขาก็ไม่รีบติด ถ้าวันไหนคนน้อยก็เร็วขึ้นนิดหนึ่ง  เท่าที่ผมเห็น พวกขนมปังติดทุ่มครึ่ง ผมก็เลือกเอาแต่ที่ผมชอบครับ กับข้าวถุงก็มีบ้าง แต่พวก หมู ไก่ ที่แพคๆ จะไม่ทันแม่ค้าที่เขามารอซื้อเป็นขาประจำหรอกครับ มันก็กินได้นะ แต่บางครั้งก็ต้องรับได้กับของหมดอายุบ้าง"

ด้านแม่ค้าขายเสื้อผ้ารายหนึ่งที่เช่าร้านในห้างดังย่านศรีนครินทร์  บอกว่า เธอมีความสุขกับการเลือกซื้อของป้ายเหลืองพร้อมกับบอกว่า ยังมีคนหลายระดับทั้งรวย ทั้งจนมาเลือกซื้อสินค้าลดกระหน่ำเหมือนกัน

“ดูซิอย่างนมเนี่ย ราคาเต็ม25 บาท ลดราคาเหลือ11 บาท อีก 3 วันถึงหมดอายุ แต่คืนนี่พี่ก็กินหมดแล้ว พี่ว่าของมันก็กินได้เหมือนกัน เราเลือกเอาแบบที่เราชอบ ดูอย่าง ดอกโสน (เธอพูดพลางชี้ให้ดูอาหารในตะกร้า) จาก24บาท เหลือ6 บาท ซื้อไป2 แพค ผัดกินได้มื้อหนึ่ง เยอะด้วย ถ้าไปซื้อที่ตลาดราคานี้ยังซื้อไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือคนจนได้นะ มื้อหนึ่งก็ประหยัดลงไปหลายบาท

เธอกล่าวพร้อมเสริมเทคนิคอีกนิดหนึ่งว่า "ช่วงเทศกาลอย่างสารทจีนเนี่ย พวกส้ม ผลไม้เขาเอามาขายไม่หมดหรอก ไม่เกินพรุ่งนี้เขาก็ต้องเอามาลด(คุณป้าชี้ไปที่ชั้นวางผลไม้สีสดใสราคาแพง)  อย่างหมูเนี่ย เอามาลด50% ถ้ายังดูสดอยู่ แต่ถ้าเริ่มเขียวก็ลดไป25%  แต่เราไม่รู้เวลาของแต่ละอย่างได้แน่นอนหรอก เพราะต้องผ่านหัวหน้างานเป็นคนอนุมัติว่าลดราคาอะไร

เช่นเดียวกับนายวราวุธ สุนทรครุฑ เชฟประจำโรงแรมเดอะคัลเลอร์ลิฟวิง ย่านเทพารักษ์ชายร่างท้วม ที่มักมาเลือกซื้อผลไม้ลดราคากลับไปทานเป็นประจำ

เขากล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า "ผมเคยซื้อลำไยไป5กิโล กินจนไม่สบาย ผมว่าช่วยคนจนได้เยอะเลยนะครับ"

จะเห็นได้ว่า ค่าของเงิน100 บาท ที่อาจซื้อข้าวเย็นได้ เพียง1-2 อย่างสำหรับหนึ่งคน แต่หากใครอยู่ใกล้ๆ ห้าง ในช่วงเย็นๆ ลองเปลี่ยนทางเดินไปจับจ่ายอาหารที่มุมป้ายเหลืองสักครั้ง รับรองว่า 100 บาท อาจยังเหลือ พร้อมกับถุงอาหารที่เต็มไม้เต็มมือกลับบ้านไป แต่ก็ต้องใช้เทคนิคส่วนตัวกันนิดหนึ่งเพื่อเลี่ยงอาหารที่อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย ที่จะเอาไม่คุ้มนิดหนึ่ง แต่ถ้าใครตาดี มุมป้ายเหลือง ก็เป็นตัวเลือกที่ดีในยุคข้าวยากหมากแพงแบบเลยทีเดียว