posttoday

เขาพระนารายณ์ ฮินดูสถานแห่งสุราษฎร์ธานี

10 สิงหาคม 2557

อธิบดีกรมศิลปากร เอนก สีหามาตย์ จัดประชุมผู้อำนวยการสำนักศิลปากรทั่วประเทศ

โดย...สมาน สุดโต

อธิบดีกรมศิลปากร เอนก สีหามาตย์ จัดประชุมผู้อำนวยการสำนักศิลปากรทั่วประเทศ ที่โรงแรมร้อยเกาะ จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 2425 ก.ค. 2557 โดยได้เชิญสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งให้เดินทางไปด้วย เพื่อจะได้รายงานเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เช่น การพบทองคำโบราณที่เขาชัยสน พัทลุง การเสนอเจดีย์พระบรมธาตุ ขึ้นทะเบียนมรดกโลก เป็นต้น

นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรได้พาไปชมภูเขาพระนารายณ์ หรือเขาศรีวิชัย หมู่ 1 ต.ศรีวิชัย อ.พุนพิน ห่างจากแม่น้ำตาปีประมาณ 400 เมตร ที่ภูเขาทั้งลูกได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2479 ซึ่งภูเขาลูกนี้มีเนื้อที่รวมถึง 94 ไร่เศษ มีโบราณสถาน ซึ่งเป็นฐานเทวาลัย ประดิษฐานรูปเคารพ หรือบูชาตามลัทธิความเชื่อในศาสนาฮินดู หลายอาคารด้วยกัน

ปัจจุบันนอกจากซากอิฐที่เคยเป็นเทวาลัย ก็มีรูปพระนารายณ์ (องค์จำลอง โดยกรมศิลปากร) ประดิษฐานอยู่ด้วย ส่วนองค์จริงที่มีอายุในราวศตวรรษที่ 12 นั้น ถูกอัญเชิญไปประทับที่พิพิธภัณฑ์พระนครเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2470

พวกเราเดินดูและพิจารณาหลายสิ่งหลายอย่างที่หลงเหลือบนภูเขาด้วยความสนใจ ประกอบกับความสงสัย เช่น ใครสร้าง และสร้างตั้งแต่เมื่อไร เป็นต้น

ผู้สร้างนั้นระบุไม่ได้ว่าเป็นใคร นอกจากสันนิษฐานว่าต้องเป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจในถิ่นฐานนี้ในสมัยโบราณ มิเช่นนั้นคงไม่มีอำนาจบารมีพอที่จะสร้างสิ่งใหญ่โตโอฬารบนที่สูงได้

เมื่อสิ่งนี้เป็นเทวาลัยของฮินดู แต่ปัจจุบันชาวฮินดูยังมีเผ่าพันธุ์หลงเหลืออยู่ที่ไหน คำถามนี้ไม่มีใครตอบ นอกจากบอกว่าประเพณีหลายอย่างทั้งพุทธและฮินดูปะปนกัน จึงไม่รู้ฮินดูเป็นใคร อยู่ที่ไหน แต่ที่บอกได้คือ ภาคใต้นั้นเป็นเส้นทางผ่านทั้งการค้าและวัฒนธรรมจากชมพูทวีปไปสู่อาณาจักรทางเหนือ เช่น กรุงสุโขทัย เป็นต้น จึงต้องมีฮินดูมีอิทธิพลตามเส้นทางสัญจร

โบราณสถาน

เอกสารแนะนำของกรมศิลปากร ชี้แนะว่า โบราณสถานบนเขาพระนารายณ์ประกอบด้วย 3 กลุ่ม คือ

1.อาคารโบราณสถานบนสันเขา ประกอบด้วย โบราณสถานหมายเลข 1-7 และ 17 โบราณสถานกลุ่มนี้ได้รับการอนุรักษ์เสริมความมั่นคงทั้งหมดแล้ว

2.อาคารโบราณสถานเชิงเขาด้านตะวันออก ประกอบด้วย โบราณสถานหมายเลข 15, 16 และ 18 โบราณสถานกลุ่มนี้ได้รับการอนุรักษ์เสริมความมั่นคงทั้งหมดแล้ว

3.กลุ่มเนินโบราณสถานเชิงเขาด้านตะวันตก ประกอบด้วย เนินโบราณสถานหมายเลข 8-14 และ 19 เนินโบราณสถานกลุ่มนี้ยังไม่ได้ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดี

โบราณสถานหมายเลข 1

เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 14 เมตร ยาว 18 เมตร มีมุขทั้งสี่ทิศ จากลักษณะรูปแบบของอาคารแห่งนี้ สันนิษฐานอาจว่าเป็นเทวาลัยสำหรับประดิษฐานเทวรูป

โบราณสถานหมายเลข 2

เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส สร้างทับซ้อนกัน 3 สมัย โดยชั้นนอกสุดมีขนาดกว้างยาวด้านละ 11 เมตร ขุดพบยอดสถูปจำลองดินเผา ชิ้นส่วนพระพิมพ์ดินเผา และถ้วยขนาดเล็ก สันนิษฐานว่าอาคารหลังนี้อาจเป็นสถูปเจดีย์

โบราณสถานหมายเลข 3

เป็นอาคารที่มีการสร้างทับซ้อนกันถึง 4 สมัย และพบการปรับพื้นที่เพื่อยกระดับอาคารในทุกครั้งที่มีการต่อเติมอาคาร อาคารหลังนี้ตกแต่งด้วยการตัดอิฐบัวอย่างประณีตสวยงาม สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นหนึ่งในอาคารซึ่งประดิษฐานเทวรูปสำคัญ

โบราณสถานหมายเลข 4

เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างยาวด้านละ 8 เมตร ภายในพบห้องกรุด้วยอิฐ แต่ไม่พบของมีค่าแต่อย่างใด สันนิษฐานว่าอาคารหลังนี้อาจเป็นสถูป

โบราณสถานหมายเลข 5

เป็นอาคารจตุรมุขกว้าง 5.8 เมตร ยาว 7.4 เมตร ตัวอาคารประดับด้วยอิฐซึ่งตัดแต่งอย่างประณีตเช่นเดียวกันกับโบราณสถานหมายเลข 3 และได้พบอิฐสลักรูปหน้าคน และรูปหัวหงส์จากการขุดค้นอาคารแห่งนี้ด้วย

เขาพระนารายณ์ ฮินดูสถานแห่งสุราษฎร์ธานี

 

โบราณสถานหมายเลข 6

เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 10.5 เมตร ยาว 16.5 เมตร สร้างซ้อนทับกัน 2 สมัย อาคารหลังนี้ชาวบ้านเล่าว่าเป็นที่ประดิษฐานพระนารายณ์ศิลาองค์ใหญ่

โบราณสถานหมายเลข 7

เป็นอาคารขนาดใหญ่หันหน้าไปทางทิศเหนือ ซึ่งพบการก่อสร้างทับซ้อนกันถึง 9 สมัย โดยใน 3 สมัยแรกอาคารมีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่เมื่อมาถึงสมัยที่ 4-9 ผังอาคารถูกแก้ไขจนกลายเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู สันนิษฐานได้ว่าอาคารหลังนี้น่าจะเป็นหนึ่งในอาคารสำหรับประดิษฐานเทวรูปสำคัญ

โบราณสถานหมายเลข 15

เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาด้านตะวันออก มีขนาดกว้าง 10.7 เมตร ยาว 14.2 เมตร อาคารหลังนี้น่าจะเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมสำหรับผู้คนวรรณะต่ำ ซึ่งไม่สามารถขึ้นไปประกอบพิธีกรรมยังเทวาลัยบนเขาได้

โบราณสถานหมายเลข 16

เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาด้านตะวันออก มีขนาดกว้าง 13.1 เมตร ยาว 15.4 เมตร สภาพอาคารพังทลายอย่างมาก สันนิษฐานว่าอาคารหลังนี้น่าจะเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมสำหรับผู้คนวรรณะต่ำ

โบราณสถานหมายเลข 17

เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 8 เมตร ยาว 12 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างโบราณสถานหมายเลข 2 กับโบราณสถานหมายเลข 3 จากการขุดค้นพบชิ้นส่วนของพวยกาในบริเวณอาคารหลังนี้จำนวนมาก สันนิษฐานว่าอาคารหลังนี้อาจใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม หรือใช้เป็นสถานที่เตรียมวัสดุสำหรับการประกอบพิธีกรรม

โบราณสถานหมายเลข 18

เป็นอาคารที่อยู่ในสภาพพังทลายมาก เหลือขอบอิฐในสภาพดีเฉพาะด้านตะวันตกเท่านั้น ส่วนด้านเหนือและใต้นั้นมีแนวอิฐเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย จากสภาพของอาคารยังไม่อาจสันนิษฐานลักษณะของการใช้งานได้

เล่าเรื่องเขาพระนารายณ์ มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า เมื่อครั้งกองทัพพม่าเข้ามารุกรานภาคใต้ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์นั้น กองทัพพม่าได้ยกมาถึงบ้านหัวเขา และเที่ยวกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย ในครั้งนั้นชาวบ้านได้พากันหนีขึ้นไปอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปพระนารายณ์เก่าแก่ เมื่อทหารพม่าตามขึ้นไปกลับได้ยินแต่เสียงอื้ออึงโดยไม่พบร่องรอยของชาวบ้านแม้แต่คนเดียว ทหารพม่าเห็นดังนั้นก็โมโหโกรธาเป็นอย่างยิ่ง จึงใช้ดาบฟันแขนเทวรูปพระนารายณ์บนเขาลูกนั้นจนหักแล้วถอยทัพกลับไป

นับแต่นั้นมาชาวบ้าน จึงนับถือในความศักดิ์สิทธิ์แห่งเทวรูปพระนารายณ์ จึงเรียกขานนามของภูเขาลูกนี้ว่า เขาพระนารายณ์ และเรียกบริเวณที่ประดิษฐานองค์เทวรูปว่าฐานพระนารายณ์และจัดให้มีประเพณีสรงน้ำเทวรูปพระนารายณ์ในทุกวันตรุษสงกรานต์ของทุกปีสืบมา

เมื่อทางราชการได้อัญเชิญเทวรูปพระนารายณ์ไปเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร เมื่อราวปี พ.ศ. 2470 ประเพณีดังกล่าวจึงสิ้นสุดลง

ปัจจุบัน กรมศิลปากรพยายามอนุรักษ์ให้เหมือนของเดิม จึงมีโรงงานเผาอิฐให้ได้ขนาดเท่ากับของโบราณตั้งอยู่ แต่หยุดงานไปนานเพราะขาดงบประมาณสนับสนุน โรงงานเผาอิฐจึงกลายเป็นโบราณสถานไปอีกแห่งหนึ่งโดยไม่ตั้งใจอนิจจา

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025