posttoday

คิดรอบคอบก่อนทำรัฐสวัสดิการ

08 สิงหาคม 2557

การกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนของประเทศไทยยังมีความห่างมาก

โดย...ชีวรัตน์ กิจนภาธนพงษ์

การกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนของประเทศไทยยังมีความห่างมาก แม้หลายรัฐบาลจะนำเอาโครงการประชานิยมมาใช้หว่านเงินลงไปช่วยประชาชนกลุ่มรากหญ้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้ช่องว่างลดลง

โครงการประชานิยมที่ดำเนินมาตลอด 10 ปี ไม่ได้ทำให้คนจนลืมตาอ้าปากและมีเงินออมภาคครัวเรือนมากขึ้นเลย สะท้อนว่านโยบายที่รัฐบาลนำมาใช้นั้นล้มเหลว ทั้งที่ใช้งบประมาณแผ่นดินไปหลายแสนล้านบาท โดยมีนักการเมืองแสวงหาประโยชน์จากโครงการประชานิยมเหล่านั้นด้วยการนำเอามาใช้หาคะแนนนิยมให้พรรคการเมือง เพื่อผลประโยชน์มากกว่าหวังจะแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอย่างจริงจัง

ความพยายามแก้ไขโครงสร้างการเมืองไทย ที่ถูกนำไปผูกกับโครงการประชานิยมแบบใครให้มากกว่าก็จะชนะการเลือกตั้ง แนวทางการแก้ไขที่มีการเสนอมาตลอดคือให้เปลี่ยนประชานิยมเป็นรัฐสวัสดิการ ซึ่งอาจจะประสบความสำเร็จในยุคของรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ดังนั้น คลังจึงปัดฝุ่นเอาผลการศึกษาเรื่องการจ่ายเงินภาษีให้คนจน (Negative Income Tax : NIT) มาเสนอ คสช. ซึ่งจะได้ประโยชน์ 2 ทาง คือ แก้ไขปัญหาความยากจน ลดช่องว่างความความเหลื่อมล้ำ เลิกโครงการประชานิยมและขยายฐานผู้เสียภาษีเงินได้

มาตรการการจ่ายเงินภาษีให้คนจนที่คลังเสนอ มีเงื่อนไขว่า ผู้ที่รับสิทธิจะต้องเป็นผู้ที่อยู่ในระบบภาษีจะมีเงินได้เท่าไหร่ก็ได้ แต่จะต้องไปยื่นแบบเสียภาษีเงินได้กับกรมสรรพากร ซึ่งจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายประมวลรัษฎากร กำหนดให้ผู้ที่มีเงินได้ตั้งแต่ 1 บาทแรกต้องยื่นแบบเสียภาษีจากเดิมที่กำหนดว่าผู้จะยื่นแบบเสียภาษีต้องมีรายได้เกิน 3 หมื่นบาท/ปี เพื่อรับสิทธิขอเงินโอนภาษีจากรัฐ

นอกจากนี้ ผู้รับสิทธิต้องมีอายุ 15-60 ปีมีเงินได้ 1 บาท3 หมื่นบาท/ปี จะได้เงินโอนภาษีจากรัฐ 20% ของรายได้ที่ได้รับ ดังนั้นหากรายได้มากกว่า 3 หมื่นบาท/ปีขึ้นไป ก็จะได้รับ 12% ของส่วนที่เกิน 3 หมื่นบาทไปจนถึงรายได้ 8 หมื่นบาทเกินกว่านั้นจะไม่ได้รับเงินจากรัฐ เพราะถือว่ามีรายได้ที่มากพอยังชีพ เทียบเคียงกับการได้รับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท โดยกระทรวงการคลังคาดว่ามีผู้ที่ได้รับเงินโอนภาษีประมาณ 18 ล้านคน คิดเป็น 27.5% ของประชากรทั้งหมด จะสร้างภาระงบประมาณปีละ 5.56 หมื่นล้านบาท

ปัณณ์ อนันอภิบุตร เศรษฐกร สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า การดึงให้ประชาชนทุกคนมีหน้าที่จะต้องยื่นภาษี ซึ่งในระยะยาวจะทำให้รัฐมีรายได้มากขึ้น เพราะทุกคนจะแห่เข้ามายื่นแบบเสียภาษี เข้ามาอยู่ในระบบ ทำให้รัฐบาลมีข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินใจ จัดระบบสวัสดิการต่างๆ ลงไปให้บริการประชาชนได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และที่สำคัญช่วยกระตุ้นให้คนขยันทำงาน ในที่สุดคนไทยทุกคนก็จะมีรายได้อยู่เหนือเส้นความยากจน

ทั้งนี้ มาตรการการโอนเงินภาษีให้คนจนนั้นมีข้อดี คือ 1.เป็นมาตรการประกันรายได้ขั้นต่ำ (Minimum Income Guarantee) 2.สามารถระบุผู้รับประโยชน์ได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย 3.ช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมายในเรื่องของการกระจายรายได้ โดยไม่ส่งผลกระทบในทางลบต่อจีดีพี 4.ช่วยลดต้นทุนในการบริหารจัดการ (Administrative Cost) 5.เป็นการโอนเงินสด 6.ไม่บิดเบือนกลไกตลาด 7.ช่วยลดความยากจนในสังคม 8.ช่วยทำให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลคนที่มีรายได้น้อยเพิ่มมากขึ้น และ 9.สามารถนำมาใช้แทนที่โครงการสวัสดิการต่างๆ ได้

สอดคล้องกับมุมมองของ สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า เห็นด้วยกับมาตรการกระทรวงการคลังที่จะเสนอ การโอนเงินภาษีช่วยคนจน ซึ่งมีข้อดีที่จะจูงใจให้ทุกคนเข้าสู่ระบบการจ่ายภาษี รวมทั้งช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อยหรือคนจนได้อย่างแท้จริง และเป็นผลดีเมื่ออนาคตระยะยาว คนที่มีรายได้น้อยก็จะอยู่ในระบบภาษีไม่ต้องหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน อีกทั้งเป็นการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

“การช่วยเหลือคนที่มีรายได้น้อยด้วยเงินโอนภาษี จะเป็นช่วยคนจนที่แท้จริงและถึงตัว เป็นการใช้เงินช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพ และมีข้อมูลที่ชัดเจนที่จะอิงกับฐานรายได้ที่แท้จริง” สมชัย กล่าว

เมื่อวิเคราะห์การใช้เงินโอนให้คนจนประมาณ 5.56 หมื่นล้านบาท/ปีนั้น จะมีคนจนได้รับประโยชน์ 18 ล้านคนนั้น เมื่อเทียบกับงบประมาณโครงการประชานิยมต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินการปีละหลายแสนล้านบาท ที่เป็นการหว่านเงินลงไป แต่ก็ไม่ทราบว่าเงินตกไปถึงมือคนจนจริงหรือไม่และทั่วถึงไหม

อย่างไรก็ตาม การแจกเงินเพื่อช่วยคนจนไม่ใช่ยาวิเศษ แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาความยากจนเท่านั้น เพราะแต่ละคนได้เงินช่วยเหลือประมาณ 1,200-6,000 บาท/ปี ก็ไม่สามารถที่จะทำให้คนจนลืมตาอ้าปากได้

สิ่งสำคัญการแก้ไขปัญหาความยากจน และการลดความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลจะต้องให้ผลักดันให้ประชาชนมีการศึกษามีความรู้ ซึ่งประชาชนก็จะต้องขยันทำมาหากิน โดยภาครัฐมีหน้าที่จะจัดสวัสดิการและลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียมการเข้าถึงโอกาส รวมถึงการจัดด้านสวัสดิการการรักษาพยาบาล ฯลฯ

ประเด็นที่ถกเถียงกันหลายคนอาจจะเกิดคำถามว่า “การแจกเงินคนจน มันแตกต่างอะไรกับการประชานิยม” คำตอบก็คือมันไม่ได้แตกต่างอะไรกับประชานิยม เพียงแต่ไม่ใช่เป็นการหว่านเงินลงอย่างไร้ประสิทธิภาพ และเป็นจ่ายเงินโดยตรงช่วยคนจนที่แท้จริง ไม่มีการรั่วไหลโกงกินโดยนักการเมือง

ท้ายสุดหากรัฐบาล คสช.ตัดสินใจดำเนินนโยบายเงินโอนเงินภาษีให้คนจนนั้น จะต้องเตรียมพร้อมที่จะหามาตรการมาสกัดกั้นหรือขีดเส้นไม่ให้รัฐบาลใหม่ ที่จะมาจากการเลือกตั้งหลังจากที่ คสช.คืนอำนาจให้ประชาชน หากการเมืองงัด “นโยบายประชานิยม” กลับมาใช้อีก ควบคู่กับ “การแจกเงินคนจน” หรือการทุ่มหาเสียงแจกเงินคนมากกว่าเกิดภาระการคลังรับได้ จะกลายเป็นเคราะห์กรรมของประเทศที่จะต้องเจอประชานิยมสองเด้ง ในที่สุดภาครัฐล่มจมและเป็นภาระของผู้เสียภาษีเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด เบรนท์ฟอร์ด พบ ลีดส์ ยูไนเต็ด พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68