posttoday

แบ่งกันรวย ช่วยกันดี สามัคคีกันไว้ คาถาปรองดอง ของหลวงพ่อเล็ก วัดป่าเลไลยก์

27 กรกฎาคม 2557

พระเทพสุวรรณโมลี (สะอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.8) หรือหลวงพ่อเล็ก ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี

พระเทพสุวรรณโมลี (สะอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.8) หรือหลวงพ่อเล็ก ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์ ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี บอกคาถาเพื่อปรองดองสมานฉันท์ ของประชาชนในประเทศสั้นๆ ง่ายๆ ว่า แบ่งกันรวย ช่วยกันดี สามัคคีกันไว้

หลวงพ่อเล็ก พระเทพสุวรรณโมลี บอกคาถานี้ เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2556 ในช่วงที่กล่าวสัมโมทนียกถา เพื่อเปิดเสวนาพุทธพลิกโลก จัดโดยสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ณ ศาลาสมเด็จพระนเรศวรมหาราช วัดป่าเลไลยก์ ในขณะนั้นท่านยังดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี และปัญหาการชุมนุมประท้วงในกรุงเทพฯ ยังมีอยู่ โดยท่านย้ำว่า 3 ข้อนี้เป็นคาถาปรองดอง ช่วยเสริมความรัก ความสามัคคี แม้ว่าเราจะไม่สามารถทำคนทั่วโลกให้รักกันได้ แต่เราทำใจให้รักคนทั้งโลกได้ พร้อมกับออกตัวว่า เป็นเพียงข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ

พระเทพสุวรรณโมลี พระเถระในวัย 80 ปี ภูมิธรรมเปรียญ 8 ประโยค ได้รับพระบัญชาเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อเดือน ก.พ. 2557 ผ่านงานเทศน์ การสอนมานานนับสิบๆ ปี มีชื่อเสียงทั่วประเทศ นอกจากท่านจะถ่ายทอดรสพระธรรมที่ล้ำลึกแล้ว สำเนียงเหน่อๆ แบบชาวสุพรรณ ก็ประทับใจผู้ฟังทั่วไปด้วย

ในการกล่าวสัมโมทนียกถาที่เต็มไปด้วยรสแห่งพระธรรมคำสอนวันนั้นเหมือนท่านนั่งธรรมาสน์แสดงธรรมก็มิปาน ทำให้ผู้ฟังที่มีการศึกษาสูงมีอาชีพเป็นข้าราชการ ครู และผู้อำนวยการเขตการศึกษาใน จ.สุพรรณบุรี 3 เขต และมัธยมศึกษา อีก 4 เขต รู้สึกซาบซึ้งไปตามๆ กัน

ท่านเริ่มว่า เมื่อพูดถึงหัวข้อเสวนาว่าพุทธพลิกโลกโดยใช้หลักพุทธธรรมนั้น ท่านตั้งประเด็นเป็นเชิงปุจฉาว่าจะพลิกไปทางไหน พลิกให้เกิดความสุข สันติภาพ ประชาชนในโลกมีเมตตา และให้อภัยต่อกัน โดยมีหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นมรรคา เพื่อนำไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าใช่หรือไม่ หากคิดพิจารณาตามนี้จะเห็นว่ามีเรื่องให้พูดมากมาย ทั้งในเรื่องปัจจุบันและอนาคต ดังนั้นจึงขอให้ผู้เข้าร่วมเสวนาซึ่งมีประมาณ 100 ท่าน ทำใจให้ปลอดโปร่ง สงบ เย็น เสียก่อน จะได้ไม่พลาดในการรับรู้เรื่องต่างๆ ที่จะเสนอในลำดับต่อไป

แบ่งกันรวย ช่วยกันดี สามัคคีกันไว้ คาถาปรองดอง ของหลวงพ่อเล็ก วัดป่าเลไลยก์

 

ทำใจให้สงบได้ด้วยการสวดมนต์

การทำใจให้สงบ เย็น ปลอดโปร่ง ต้องสวดมนต์ แม้ว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้บังคับว่าต้องสวดมนต์กี่ครั้ง/วันก็ตาม ขอให้ปฏิบัติแบบพระ คือ ทำวัตร-เช้าเย็นก็ได้ หรือไหว้พระก่อนนอนก็ได้ ต่างจากศาสนาอื่น เช่น อิสลามที่ให้สวด/ไหว้วันละ 5 ครั้ง สวดมนต์เป็นกิจวัตรของเขา แต่พระพุทธศาสนาโดยเฉพาะชาวบ้านไม่ได้บังคับ บางคนสวดมนต์ไม่เป็น หรือไม่สวดมนต์ อันนี้เป็นจุดอ่อนของเราชาวพุทธ

ในเรื่องพลิกโลกด้วยพุทธศาสนา หลวงพ่อพระเทพสุวรรณโมลี ในวัย 80 ปี ได้เสนอว่าก่อนทำงานใหญ่เช่นนั้นเราต้องพลิกใจของเราให้สงบ และเย็นให้ได้

การจะให้ใจสงบเย็นไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับการสวดมนต์ จะสวดวันละกี่ครั้ง นานแค่ไหนก็ได้ หรืออย่างน้อยๆ ก็ควรสัก 510 นาที หากท่องไม่ได้ก็กางหนังสือสวดมนต์ที่ทางวัดพิมพ์แจกฟรี

(หนังสือสวดมนต์ที่ทางวัดแจกฟรี หน้าปกเป็นภาพหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ ชื่อหนังสือว่า พุทธมามกมนต์ ฉบับวัดป่าเลไลยก์ โดย พระเทพสุวรรณโมลี (สะอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.8) ปกหลังเป็นภาพวาดการสวดมนต์ของชาวบ้าน โดยข้อความว่า เจริญมนต์ให้มาก ถ้าไม่อยากกังวล หัวใจมีมนต์ความกังวลไม่มี)

ท่านแนะนำให้ชาวพุทธสวดมนต์ก่อนนอนวันละ 15 นาที สวดพร้อมๆ กันทั้งครอบครัว โดยมีบทสวดภาคบังคับ 3 บท คือ สรรเสริญพระรัตนตรัย

บทที่เราสวด คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก 8.4 หมื่นพระธรรมขันธ์นั่นเอง แต่มารวมในบทสวดมนต์ 3 บท เป็นมนต์สำคัญ คือ บทสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ อันเป็นบ่อเกิดของพุทธ

หลวงพ่อซึ่งเป็นทั้งครูสอนปริยัติแผนกธรรมและบาลีมาเกือบตลอดชีวิต บอกแบบตัดพ้อว่าคนเราชาวพุทธ ไม่รู้จักคุณพระรัตนตรัย เมื่อถามว่าคุณสมบัติพระรัตนตรัยมีอะไรบ้าง น่าเสียใจว่าชาวพุทธส่วนมากตอบไม่ได้ จึงขอให้สวดมนต์ 3 บท ดังกล่าวและเข้าถึงให้ได้ จะรู้ซึ้งว่าคุณพระรัตนตรัยคืออะไร

เมื่อจบการสวดมนต์ที่ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ท่านได้บรรยายต่อ พร้อมกับบอกว่า บรรยากาศที่นี่ต่างจากบรรยากาศที่ถนนราชดำเนินและสนามราชมังคลากีฬาสถาน (ซึ่งขณะนั้น กปปส.ชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน ส่วน นปช.ชุมนุมที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน กรุงเทพมหานคร) เพราะที่นี่เป็นที่สงบ หมายความว่า โลกสงบด้วยการสวดมนต์ เพราะการไปพูดให้คนทั้งโลกรักนั้นยาก แต่พูดให้คนทั้งโลกเกลียดมันง่าย

คนที่เกลียดเรา โกรธเรา เพราะเขาขาดความรัก เขาด่าเรา เพราะไม่รักเรา การแก้ปัญหานี้เราต้องเอาของที่เขาขาดไปให้เขา

ปัจจุบันสังคมเดือดร้อน เพราะเราขาดเทคนิคในการเติมเต็มความรัก แต่ตรงกันข้ามกลับไปเพิ่มความเกลียดชังให้เขาอีก

หลวงพ่อตั้งเรื่องว่า โลกทั้งโลกวุ่นวายเดือดร้อนเพราะขาดอะไร และทำไมจึงไม่น่าอยู่ มีใครตอบได้ไหม เมื่อหาคำตอบกันอยู่ หลวงพ่อจึงเฉลยว่า เพราะโลกนี้ขาดพระอรหันต์ แต่คุณพระอรหันต์ยังดำรงอยู่ หากเราอยากเห็นพระอรหันต์เราก็รำลึกถึงคุณพระอรหันต์ ซึ่งมีอยู่ในบทสวดมนต์บทแรก (พุทธคุณ) เมื่อเราสวดมนต์เราก็เข้าถึงคุณพระอรหันต์ โดยไม่จำต้องหมดกิเลสทุกคน นอกจากสวดมนต์แล้วขอให้ทำศีล 5 ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ เมื่อทำได้เช่นนี้จะเป็นคุณแก่ตน

ท่านเจ้าคุณซึ่งเป็นผู้มีวาทศิลป์เป็นเยี่ยม เมื่อพูดถึงความสำคัญของการสวดมนต์ ก็โยงเข้าหาประเด็นในการประชุมเสวนาวันนั้น เรื่องพุทธพลิกโลก ได้อย่างแยบคาย โดยท่านเน้นย้ำว่า เมื่อสวดมนต์ได้ก็สามารถพลิกโลกได้ ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ เพราะปฐมเทศนา คือ พระธรรมคำสอนที่พลิกโลก เมื่อสามารถกลับใจคนที่ไม่รู้ ไม่ดี ให้รู้และดี ทั้งนี้เพราะตัวเรานั้นคือโลกนั่นเอง (ภาษาฮินดี คำว่า โลก คือ ประชาชน) โดยท่านยกชุมชนในชมพูทวีปสมัยนั้นว่ามี 2 พวก คือ มิลักขะ และอริยกะ ดังที่ปรากฏในพุทธประวัติ โดยกล่าวว่ามิลักขะเป็นคนที่ยังไม่ได้พัฒนา พูดง่ายๆ คือ ป่าเถื่อน ส่วนอริยกะได้แก่พวกที่พัฒนาแล้วจิตใจสะอาด หากเปรียบให้เห็นกับคำสอนของพุทธองค์ มิลักขะ คือ กองกิเลส โลภ โกรธ หลง เป็นมลทินแก่จิตใจคน เมื่อไรที่คุณธรรมทั้งหลายเข้ามาแทนกิเลสทั้ง 3 นั้น คนนั้นก็กลายเป็นอริยกะ เห็นหรือยังว่าคุณธรรมของพุทธศาสนาพลิกโลกได้ พลิกจากคนไม่ดีให้เป็นคนดี พลิกจากคนมีกิเลสให้หมดกิเลส

เมื่อพูดกับครูบาอาจารย์ที่ประชุมอยู่ ท่านจึงพูดว่าวิชาทั้งหมดที่สอนกันในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเป็นวิชาทางโลก เรียนรู้เพื่อไปรับใช้ความโลภ โกรธ หลง ทำให้กิเลสทั้ง 3 นั้น ครองโลก

พระพุทธองค์สอนไม่ให้ถูกกิเลสทั้ง 3 ครอบงำ โดยให้ชาวพุทธสนใจและปฏิบัติในคุณธรรม 3 อย่าง หรือบารมี 10 อย่างย่อ ได้แก่ ทาน คือ การเสียสละ ศีล การรักษากายใจให้เป็นปกติสะอาด บริบูรณ์ และภาวนา การทำจิตให้เป็นสมาธิผ่องใสจากอาสวกิเลส ซึ่งคุณธรรมทั้ง 3 นั้น สามารถพลิกโลกได้ เพราะเมื่อกิเลสหมด ปัญญาเข้ามาแทน ความสุขสงบก็เกิดขึ้น เท่านี้โลกก็สงบร่มเย็น

สุดท้ายท่านได้บอกคาถาให้แก่สังคมที่กำลังเรียกหาความปรองดองสมานฉันท์ อย่างง่ายๆ เรียกว่าคาถาปรองดอง คือ แบ่งกันรวย ช่วยกันดี สามัคคีกันไว้

3 ข้อนี้ ปฏิบัติได้ก็สามารถช่วยเสริมความรักและความสามัคคี แล้วสรุปแบบให้ไปคิดพิจารณาและนำไปปฏิบัติ คือ

เราไม่สามารถทำคนทั้งโลกให้รักกันได้ แต่เราทำใจเราให้รักคนทั้งโลกได้

แม้ว่าท่านจะออกตัวว่าเป็นข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ แต่ปัญญาชนได้ฟังก็บอกว่านี้คือหลักแห่งสันติ เมตตาธรรม เป็นคาถาปรองดองแห่งโลกเลยทีเดียว-สาธุ

ข่าวล่าสุด

ประเสริฐยันจบด้วยดี “ไชยา” ลาเพื่อไทยเหตุจำเป็นการเมือง