ยอดสามเณรนิโครธ
พระเจ้าอโศกมหาราช มหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินชมพูทวีป เดิมทีพระองค์มิได้ทรงนับถือพระพุทธศาสนา
พระเจ้าอโศกมหาราช มหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินชมพูทวีป เดิมทีพระองค์มิได้ทรงนับถือพระพุทธศาสนา แต่ต่อมาภายหลังได้หันมาเลื่อมใสและทรงสร้างบุญมากมายในพุทธศาสนา ว่ากันว่า ส่วนหนึ่งมาจากสามเณรอายุ 7 ขวบ ที่มีนามว่า “นิโครธ” นั่นเอง
สามเณรนิโครธเป็นใคร มาจากไหน เหตุใดสามารถทำให้มหาราชผู้ยิ่งใหญ่นี้เปลี่ยนพระราชหฤทัยหันมายอมรับนับถือพระพุทธศาสนาได้
ย้อนดูประวัติสามเณรนั้นเป็นพระโอรสของเจ้าชายสุมนะ ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์โตของพระเจ้าพินทุสาร เจ้าเมืองอุชเชนี (เมืองนี้ภายหลังพระเจ้าพินทุสารซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระเจ้าอโศกสวรรคต แล้วพระเจ้าอโศกก็ทรงยึดไว้) และพระเทวีชื่อสุมนา
ตอนที่พระเจ้าอโศกยึดเมืองและจับเจ้าชายสุมนะไว้ พระนางสุมนาทรงครรภ์แก่เต็มที่จึงได้ปลอมตัวหนีจากพระนครไปอาศัยอยู่ในบ้านคนจัณฑาล โดยมีเทวดาที่อาศัยอยู่ในต้นไทรใกล้บ้านเนรมิตศาลาหลังหนึ่งให้พระนางได้อาศัย
โดยขณะที่อาศัยอยู่ก็ได้มีพระประสูติกาลพระโอรส จึงขนานพระนามว่า “นิโครธ” เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณของเทวดาที่อาศัยอยู่ที่ต้นไทร (นิโครธ) และพระนางก็ทรงอยู่กับพระโอรสในสถานที่นี้เป็นเวลา 7 ปี
ครั้งนั้น พระเถระพระอรหันต์รูปหนึ่งชื่อว่า มหาวรุณเถระ ได้เห็นความพร้อมที่จะบวชของนิโครธกุมารจึงทูลขอพระเทวีสุมนาอนุญาตให้บวช พระนางยินดี และไม่น่าเชื่อว่าเวลาปลงผมเสร็จก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทันที
วันหนึ่ง สามเณรชำระร่างกายแต่เช้าตรู่ ทำอาจริยวัตรและอุปัชฌายวัตรเสร็จแล้วออกไปบิณฑบาต และคิดไว้ว่าจะไปยังประตูเรือนโยมมารดา ทว่าเรือนของโยมมารดานั้นต้องเดินเข้าไปในพระนครทางประตูด้านทิศใต้ ผ่านท่ามกลางพระนครออกทางประตูทางทิศตะวันออก
เวลานั้นพระเจ้าอโศกมหาราชทรงยืนที่สีหบัญชร ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทอดพระเนตรเห็นสามเณรกำลังเดินด้วยอาการสำรวม งดงาม เห็นอินทรีย์ของสามเณรผ่องใส จึงทรงรำพึงว่า
“ผู้คนทั้งหมดในเมืองนี้มีจิตฟุ้งซ่านเหมือนหมู่เนื้อที่วิ่งพล่านไป แต่เด็กน้อยผู้กำลังเดินอยู่กลางลานหลวงไม่มีจิตฟุ้งซ่าน การมอง การเหลียวดู การคู้แขน และการเหยียดแขนช่างงดงามยิ่งนัก ภายในของเด็กนี้น่าจักมีโลกุตรธรรม”
ดังนี้แล้ว เกิดพระหฤทัยเลื่อมใสในสามเณรอย่างมาก รับสั่งให้พวกอำมาตย์ให้ไปนิมนต์สามเณรมา เมื่อสามเณรมาถึงท้องพระโรงพระเจ้าอโศกตรัสขึ้นว่า ท่านทราบอาสนะที่ควรแล้ว นิมนต์นั่งเถิด
สามเณรพอเหลียวดูรอบทิศก็เห็นว่าบัดนี้ไม่มีพระเถระและภิกษุอื่นอยู่จึงเดินเข้าไปใกล้พระราชบัลลังก์ พระเจ้าอโศกเห็นอย่างนั้นจึงทรงดำริว่า วันนี้สามเณรรูปนี้จักเป็นเจ้าของพระราชมนเทียรนี้
ในขณะนั้นสามเณรได้ถวายบาตรที่พระหัตถ์ของพระเจ้าอโศก แล้วขึ้นนั่งพระราชบัลลังก์ พระเจ้าอโศกก็ถวายภัตตาหาร และหลังทำภัตกิจก็ขอให้สามเณรแสดงธรรม สามเณรได้ฉลองพระราชศรัทธาด้วยการเทศน์เรื่องความไม่ประมาท พระองค์ทรงปีติมากในบทเทศนา
จากนั้นเป็นต้นมาทรงทำบุญมากมาย เช่น รับสั่งให้สร้างมหาวิหารชื่อว่า อโศการาม ทรงตั้งภัตไว้เพื่อถวายภิกษุ 6 แสนรูป ทรงสร้างพระวิหาร 8.4 หมื่นหลัง เพื่อบูชาพระธรรมขันธ์ 8.4 หมื่นพระธรรมขันธ์
ทรงให้พระราชโอรส คือ พระมหินทกุมาร และพระราชธิดาคือ พระนางสังฆมิตตา ออกบวชในพระพุทธศาสนาอันถือเป็นพระพุทธศาสนาโดยสมบูรณ์
ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่เต็มกำลัง พระพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองไปทั่วชมพูทวีปอีกครั้งหนึ่ง ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 ซึ่งมีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธานทำสังคายนา
ทรงส่งพระธรรมทูตไปเผยแผ่ต่างประเทศทั่วโลก โดยส่งพระโสณเถระกับพระอุตตรเถระมาที่สุวรรณภูมิ ซึ่งก็คือแถบประเทศกัมพูชา ไทย ลาว พม่านี่เอง ฯลฯ
ส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้สามเณรนิโครธผู้ทรงทำให้พระองค์หันมาสู่ทางแห่งสัมมาทิฐิ


