posttoday

"ข่มขืน=ประหาร"ทัศนะสังคมลงโทษอย่างไรจึงสาสม?

08 กรกฎาคม 2557

ฝ่ายหนึ่งมองว่าอาชญากรเหล่านี้ต้องถูกลงโทษประหารเพื่อให้ไม่มีโอกาสก่อเหตุซ้ำ ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าโทษประหารละเมิดสิทธิการมีชีวิตอยู่

โดย...โพสต์ทูเดย์ออนไลน์

"โทษประหารชีวิต"ถือเป็นมาตรการลงโทษที่เก่าแก่และรุนแรงที่สุดในกฎหมายไทย

ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑติยสถาน พ.ศ.2542 ได้ให้ความหมายคำว่า "ประหารชีวิต" ว่า "ฆ่า" "ทำลาย" "ลงโทษ"

ปัจจุบันมีประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตไปแล้ว 140 ประเทศ ขณะเดียวกันยังมี 58 ประเทศที่ยังคงมีโทษประหารชีวิตอยู่ และหนึ่งในนั้นคือประเทศไทย

หลังคดีข่มขืนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและที่สำคัญเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดกระแสการสนับสนุนให้เพิ่มโทษกฎหมายลงโทษผู้กระทำผิดในข้อหากระทำชำเราให้รุนแรงยิ่งขึ้น มีการก่อตั้งเพจเฟซบุ๊ก "พวกเราต้องการเปลี่ยนกฎหมาย คดีข่มขืนให้ลงโทษประหารชีวิตเท่านั้น" รวมถึงภาพของชายคนหนึ่งที่ยืนถือป้ายเรียกร้องที่มีข้อความระบุว่า "อยากให้คดีข่มขืนถูกประหาร" บริเวณป้ายรถเมล์สยามเซนเตอร์

ล่าสุดกับคดี "วันชัย แสงขาว" คนร้ายก่อเหตุทำร้ายและข่มขืนเด็กหญิงวัย 13 ปีบนขบวนรถไฟสายนครศรีธรรมราช-กรุงเทพ ก่อนจะโยนร่างที่ยังมีลมหายใจของเด็กน้อยออกมาทางหน้าต่างขณะที่รถไฟกำลังวิ่งจนทำให้เธอเสียชีวิต ก็ทำให้เกิดเสียงสนับสนุนให้มีการเพิ่มโทษประหารชีวิตแก่ผู้กระทำผิดในข้อหากระทำชำเรา อย่างกว้างขวาง

ทั้งหมดนี้กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้งว่าสมควรแล้วหรือไม่ที่จะสังคมไทยยังต้องมีโทษประหารชีวิต

บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ดาราดังได้โพสต์อินสตาแกรมอาสาเป็นผู้รวบรวมรายชื่อเสนอขอแก้ไขกฎหมายเพิ่มโทษประหารแก่คนร้ายคดีข่มขืน

เธอระบุว่า ถึงเวลาขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนคนไทย บุ๋มขอรวบรวมรายชื่อเพื่อทำบัญชีหางว่าวแนบเอกสารขอเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ข่มขืนต้องประหาร! สำเนาบัตรประชาชน เซ็นกำกับคาดหน้าว่า "เพื่อเสนอเปลี่ยนแปลงบทลงโทษข่มขืนเท่านั้น" พร้อมลายเซ็นและวันที่ ขอพลัง 1 แสนคนค่ะ แล้วบุ๋มจะไปยื่นด้วยตัวเองเพื่ออนาคตลูกหลานของเรา!

เช่นเดียวกับดารา ศิลปินชื่อดังหลายรายที่ต่างพร้อมใจโพสต์อินสตาแกรมสนับสนุนให้มีการเพิ่มโทษประหารชีวิตแก่คนร้านคดีข่มขืนเช่นเดียวกัน

"ข่มขืน=ประหาร"ทัศนะสังคมลงโทษอย่างไรจึงสาสม?

อรสม สุทธิสาคร นักเขียนสารคดีชื่อดัง เจ้าของผลงานหนังสือตีแผ่ด้านมืดของสังคมไทยอย่าง 'คุก' 'มือปืน' 'สนิมดอกไม้' ควบคู่กับวิทยากรอบรมการเขียนเพื่อบำบัดให้แก่นักโทษประหารเรือนจำกลางบางขวางมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน

เธอยืนยันว่าเข้าใจถึงทัศนะของสังคมที่ต้องการให้มีโทษประหาร แต่โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับโทษประหาร

"ทุกคนก็รักลูก รักพี่ รักน้องตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง เด็กคนหนึ่งที่มันต้องพังพินาศ  ช็อก หวาดกลัว ฝันร้ายตลอดชีวิตที่เหลือ เป็นธรรมดาที่จะเราจะคับแค้นใจ อยากให้ประหารชีวิตตายตกไปตามกัน แต่จากประสบการณ์ทำงานที่ได้มีโอกาสเข้าไปเรียนรู้ชีวิตนักโทษประหารหลายคดี มองว่าการลงโทษประหารไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา

โดยเฉพาะผู้ต้องหาที่กระทำความรุนแรงทางเพศกับผู้หญิงและเด็ก ส่วนใหญ่มักจะมีภูมิหลังที่ไม่เหมือนคนธรรมดา ยกตัวอย่างกรณีของติ๊งต่าง ชีวิตของคนๆนี้มีบาดแผลใหญ่ๆถึง 3 แผล หนึ่ง เป็นเด็กที่เติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้พ่อไม่รู้แม่ สอง ถูกพ่อแม่บุญธรรมเอาไปเลี้ยงต่อแบบไม่ดีพอ ไม่รู้ว่าความรัก ความอบอุ่นคืออะไร ไม่เคยรู้ถึงความเมตตา ความดีงาม ไม่ได้รับการปลูกฝังให้เกิดคุณธรรม แม้กระทั่งปฎิสัมพันธ์กับคนอื่น  ระบบระเบียบกติกาสังคม  สาม เคยถูกล่วงเกินทางเพศตอนอายุ 6 ขวบ เมื่อครั้งอยู่ในสถานสงเคราะห์ ชีวิตทั้งชีวิตที่ถูกกดขี่อยู่ใต้อำนาจ ถูกเหยียบย่ำข่มเหงมาตลอด เพราะฉะนั้นเขาก็จะเลือกที่จะแสดงกับเด็ก นอกจากทั้ง 3 บาดแผลที่เราได้รู้ เชื่อว่ายังมีอีกหลายปมหลายบาดแผลที่เราไม่รู้ บวกกับการกินเหล้าเข้าไปก็ไม่มีสติสตัง ความเก็บกด ความไม่รู้ผิดรู้ชอบ รู้ดีรู้ชั่ว ก็จะถูกถ่ายทอดออกมาอย่างรุนแรง"

อรสมบอกว่ามองอีกด้านของสังคม ฆาตกรคนนี้ก็ถือเป็นเหยื่อของสังคมเหมือนกัน เปรียบเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่งที่เติบโตมาอย่างแคระแกร็น ไม่ได้รับการรดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดินให้งอกงาม มีแต่ปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยให้คนแบบนี้เติบโตมาเป็นคนดี แข็งแรง และสวยงามได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าประหลาดใจเลยที่เขาจะกลายมาเป็นเช่นนี้ 

"โทษประหารไม่สามารถแก้ปัญหาตรงนี้ได้ จริงๆหน้าที่ของสื่อก็ควรให้ความรู้แก่สังคมด้วย อยากให้เสนอ ตีแผ่ให้เห็นถึงรากเหง้าที่มาที่ไปของผู้กระทำด้วยว่าเขาเป็นมายังไง เติบโตมาเช่นไร เพื่อนำไปสู่ทางแก้ไข"

เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าโครงการศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา ให้ทัศนะว่า บางคนก็เป็นผู้ป่วย บางคนก็เลวโดยสันดาน เรื่องที่คนออกมารณรงค์ให้ลงโทษประหาร ผมเข้าใจหัวอกพวกเขาเป็นอย่างดีในฐานะคนที่ทำงานคลุกคลีกับพ่อแม่ของเหยื่อ มันเป็นความเจ็บปวด เป็นความรู้สึกที่เลวร้ายมาก เขามีสิทธิ์คิดว่าคนที่ทำผิดต้องได้รับโทษอย่างสาสม

เพียงแต่ว่ามุมหนึ่งอาจจะต้องมองลักษณะของผู้ก่อเหตุด้วย คนๆนั้นอาจจะเป็นผู้ถูกกระทำของคนในสังคมเช่นกัน บางทีเราอาจไม่ได้มองลึกลงไปถึงธาตุของเขา ไม่ได้มองถึงแรงจูงใจ หรือสาเหตุในการกระทำ บางทีเขาอาจจะป่วย ต้องได้รับการรักษา

ถามว่าจะต้องถึงขั้นประหารเลยหรือ คงไม่ถึงขนาดนั้น แต่คิดว่าจะทำยังไงกับผู้ก่อคดีทางเพศที่ทำต่อเด็กภายหลังจากรับโทษแล้ว ในอเมริกาเขาใช้การบำบัด และทำแบล็คลิสต์ เช่นคุณออกจากคุกมา ไม่ว่าจะไปที่ไหนจะต้องแจ้งกับเจ้าหน้าที่ในเขตนั้นทราบ เพื่อจะได้เฝ้าระวังจากบุคคลอันตรายเหล่านี้ได้

โดยส่วนตัวผมคิดว่าต้องไปเรียกร้องกับหน่วยงานรัฐ เพื่อทำให้เกิดกรอบที่สามารถควบคุมได้ อยากให้รณรงค์เป็นในลักษณะแบบนั้นมากกว่าที่จะไปให้ถึงขั้นประหารชีวิต ในระดับสากลเขาเริ่มยกเลิกโทษประหารกันแล้ว ภายใต้หลักคิดที่มีเหตุมีผล ไม่ใช่แค่เรื่องสิทธิมนุษยชน แต่มีผลวิจัยออกมาว่าโทษประหารไม่ได้มีผลให้สถิติก่ออาชญากรรมเพิ่มขึ้นหรือลดลง การจับกุมอย่างเคร่งครัดจะทำให้ประชาชนหวาดกลัวกับการกระทำผิดและมีผลต่อสถิติอาชญากรรมโดยตรงมากกว่า  นอกจากนี้เขามองเห็นถึงโอกาสที่จะให้คนผิดได้กลับเนื้อกลับตัวด้วย"  

ข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมระบุว่า นับตั้งแต่การเปลี่ยนการประหารจากการตัดคอมาเป็นการยิงเป้าในปี พ.ศ. 2478 - 2552 มีนักโทษถูกประหารชีวิตทั้งสิ้น 319 คนต่อมาการประหารชีวิตด้วยปืนถูกยกเลิกในปี 2546  แต่ให้ดำเนินการด้วยวิธีฉีดยาหรือสารพิษให้ตายแทน มีนักโทษชาย 4 คน ถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาเป็นครั้งแรก ต่อมาได้ยุติการประหารชีวิตไป โดยระหว่างปี พ.ศ. 2546-2551 (ยังมีโทษอยู่แต่ไม่มีการนำนักโทษไปประหาร)วันที่ 24 ส.ค. 2552 มีการฉีดยาเพื่อประหารชีวิตนักโทษชาย 2 คนที่เรือนจำบางขวาง และศาลตัดสินลงโทษประหารชีวิต ทำให้จนถึงวันนี้มีผู้ถูกประหารชีวิตด้วยวิธีฉีดยาให้ตายทั้งสิ้น 6 คน

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าประเด็นเรื่องโทษประหารในประเทศไทยยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ตลอดเวลา ฝ่ายหนึ่งมองว่าอาชญากรเหล่านี้ต้องถูกลงโทษประหารชีวิตเท่านั้น เนื่องจากการได้ลดโทษ ถูกจำคุกไม่กี่ปีมีโอกาสออกมาก่อเหตุซ้ำอีก

ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าโทษประหารละเมิดสิทธิในการมีชีวิตอยู่ สร้างความทรมานต่อร่างกายและจิตใจ และไม่ได้ช่วยให้อาชญากรรมลดลงแต่อย่างใด

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"