"ทองคำโบราณ พัทลุงโมเดล"ปลุกจิตสำนึกส่งคืนสมบัติแผ่นดิน
ข่าวชาวบ้านแตกตื่นกันไปขุดทองคำโบราณในสวนปาล์มของวิ ทับแสง ในพื้นที่อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง เมื่อกลางเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา
โดย...พริบพันดาว
ข่าวชาวบ้านแตกตื่นกันไปขุดทองคำโบราณในสวนปาล์มของวิ ทับแสง ในพื้นที่อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง เมื่อกลางเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา เป็นข่าวโด่งดังพูดถึงกันมากมาย จนเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรที่14จ.นครศรีธรรมราชและเจ้าหน้าที่ทหารช่างที่401ค่ายอภัยบริรักษ์จ.พัทลุง ได้เข้าควบคุมพื้นที่และใช้เวลาขุดกว่า20วัน จนยุติการขุดหาทองคำและร่องรอยทางประวัติศาสตร์
สำหรับการคืนทองคำโบราณให้แก่ทางราชการหรือกรมศิลปากรนั้น ได้มีชาวบ้านในพื้นที่นำมาคืนเป็นทองคำแผ่น กำไล ตุ้มหู รวมน้ำหนัก1.7กก. แต่ยังเหลืออีกจำนวนมากที่ชาวบ้านส่วนหนึ่งเก็บไว้และขายให้แก่นักสะสมของเก่า
ทางผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สหภูมิ ภูมิธฤติรัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดเงินรางวัลสำหรับผู้เก็บได้ซึ่งโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน รวมทั้งตรวจพิสูจน์ กำหนดอายุสมัยกำหนดค่าทรัพย์สินและประเมินราคาของโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ สิ่งเทียมโบราณวัตถุและสิ่งเทียมศิลปวัตถุ ได้นำทองคำโบราณที่วิ ทับแสงเจ้าของที่ดิน และชาวบ้านที่ขุดพบนำมาส่งมอบคืนเป็นทองคำจำนวน22รายการประกอบด้วย ทองรูปพรรณ4รายการ ได้แก่กำไลนาก ชิ้นส่วนกำไล จี้รูป ปลัดขิก ลูกปัดทองคำ รวมถึงแผ่นทองคำที่มีจารึก13รายการมูลค่ารวมกว่า1ล้านบาท ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ
จากพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพ.ศ.2504แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่2)พ.ศ.2535ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า ผู้พบโบราณวัตถุมีสิทธิได้รับรางวัลไม่เกิน1ใน3ของมูลค่าโบราณวัตถุตามที่คณะกรรมการพิจารณาประเมิน ทั้งนี้หากผู้พบโบราณวัตถุไม่พอใจค่าของโบราณวัตถุตามที่คณะกรรมการประเมิน สามารถยื่นอุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมศิลปากรได้ภายใน15วัน นับจากวันที่ทราบค่าของโบราณวัตถุ ซึ่งอธิบดีจะดำเนินการวินิจฉัย และคำวินิจฉัยของอธิบดีจะถือเป็นที่สุด
ชาวบ้านหรือคนที่มีโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ที่ครอบครองอยู่ เมื่อเห็นข่าวชาวบ้านเขาชัยสนได้รับเงินรางวัลจำนวนที่สูงจากทางราชการ จึงเริ่มทยอยนำมามอบให้กับทางกรมศิลปากรกันอย่างต่อเนื่อง
ส่งคืนกลองมโหระทึกยุคเหล็กอายุ2,500ปี ที่อุบลฯ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี ก็ได้มีการติดต่อจากชาวบ้านใน อ.พิบูลมังสาหารส่งมอบกลองมโหระทึกสำริด ซึ่งตรวจสอบแล้วมีอายุก่อนสมัยประวัติศาสตร์ ยุคเหล็ก อายุราว2,000-2,500ปี คล้ายกับกลองมโหระทึกสำริดแบบเฮเกอร์1 (Heger 1)ในวัฒนธรรมดองซอนที่พบในเวียดนา
คำแหวน แฝงโกฏิ หรือคนทั่วไปในต.ดอนจิก เรียกว่า แม่ใหญ่ ได้บอกว่า พ่อใหญ่สนิทซึ่งเป็นสามีของนางได้ขุดพบในพื้นที่นาของตัวเอง เลยนำมาไว้ที่บ้านแล้วไปเก็บไว้ที่วัด3ปี
"พวกเราเป็นคนจน ครอบครัวหาเช้ากินค่ำพอเห็นว่าราชการมีค่าตอบแทนจึงมอบให้ ขุดพบแต่กลองอย่างเดียว ไม่มีเจออย่างอื่นแล้วเอาให้วัดเก็บไว้ กรมศิลป์บอกว่าไว้ที่วัดก็ได้ พอรู้ข่าวว่าที่พัทลุงเอาทองมอบให้กรมศิลป์แล้วได้รางวัล1ใน3ของมูลค่าก็ตัดสินใจนำมามอบให้กรมศิลป์ทันที
สุกัญญา เบาเนิด นักโบราณคดีชำนาญการสำนักศิลปากรที่11จ.อุบลราชธานี ได้เปิดเผยถึงข้อเท็จจริงของโบราณวัตถุชิ้นนี้ว่า กลองใบนี้ขุดเจอมาตั้งแต่ปี2554
"ชาวบ้านเขาก็แจ้งมา เราก็ไปตรวจสอบและสำรวจในพื้นที่ ก็ทำรายงานเบื้องต้นเรียบร้อย เป็นกลองประเภทเฮเกอร์1ของวัฒนธรรมดองซอนในเวียดนาม ซึ่งเป็นโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ ทางพิพิธภัณฑ์ก็อยากได้มาไว้ตั้งแต่ช่วงนั้น ก็มีการเจรจากัน แต่พ่อใหญ่สนิทก็ยังหวงอยู่ เลยเอาไปเก็บรักษาไว้ที่วัดบ้านนาเจริญ ต.ดอนจิก อ.พิบูลมังสาหารจ.อุบลราชธานี แล้วทำกรงเหล็กล้อมกันขโมย ปีที่แล้วทางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี คุณชวนี เหล็กกล้า ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการก็ไปขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุไว้
"ช่วงที่พ่อใหญ่สนิทอยากมอบกลองมโหระทึกให้สำนักโบราณคดีตรงกับข่าวทองพัทลุงกำลังดัง เขาดูข่าวแล้วรู้ว่า คนที่ครอบครองโบราณวัตถุไม่สามารถจำหน่ายให้ใครได้ เดิมชาวบ้านอาจมีความคิดว่าถ้ามีคนมาขอซื้อในราคาแพงก็จะขายไปก็ได้ อีกอย่างเป็นเรื่องของความเชื่อที่ออกมาด้วยว่าใครครอบครองสมบัติแผ่นดินจะเจอเรื่องที่ไม่ดีอาจจะมีอันเป็นไป เขาก็กลัวด้วยส่วนหนึ่งก็เลยติดต่อเข้ามาส่งมอบและบอกว่า อยากได้เงินด้วยเพราะจนเหลือเกิน ชาวบ้านก็เริ่มรู้กฎหมายเรื่องโบราณวัตถุมากขึ้นที่มีค่าตอบแทน1ใน3ของราคาประเมิน เป็นเงินรางวัลมอบให้ เมื่อสามปีก่อนเราก็พูดเรื่องนี้แต่เขาไม่สนใจเขาบอกว่าเขาไม่เชื่อกรมศิลปากรแต่ตอนนี้มีข่าวออกมาเรื่องทองพัทลุงเขาก็เลยเชื่ออยากจะเอามามอบ"
สุกัญญา บอกว่า ช่วงนี้ถือว่าเป็นกระแสส่งมอบโบราณวัตถุของชาวบ้าน เพราะจากการประชุมเชิงปฏิบัติการ การจัดทำยุทธศาสตร์และแผนเพื่อพัฒนางานโบราณคดีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีการคุยกันถึงเรื่องนี้ที่เป็นการตื่นตัวของชาวบ้านเพื่อจะมาขอรางวัล
"ก็เป็นเรื่องที่ดีชาวบ้านรู้กฎหมายมากขึ้นรู้ว่าจะต้องจัดการอย่างไรกับโบราณวัตถุที่พวกเขาพบ ทำให้กรมศิลปากรสามารถสงวนรักษาเอาไว้ก่อนที่จะตกอยู่ในมือของคนอื่นนักโบราณคดีก็ทำงานง่ายขึ้น อย่างของชิ้นสำคัญมากๆ เราก็ต้องไปง้อชาวบ้านที่ค้นพบให้เขาส่งมอบว่ามีรางวัลให้1ใน3ของราคาประเมินแต่ไม่ใช่โบราณวัตถุทุกชิ้นจะมาส่งมอบแล้วขอเงินรางวัล ต้องอยู่ที่การประเมินคุณค่าของกรมศิลปากรว่าเป็นชิ้นสำคัญที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์โบราณคดี"
สุกัญญาทิ้งท้ายว่า คนที่มาส่งมอบโบราณวัตถุนอกจากจะได้เงินรางวัลแล้ว ก็ยังจะมีการมอบเข็มเชิดชูเกียรติในวันอนุรักษ์มรดกไทยด้วย
ย้อนมองการคืนโบราณวัตถุและศิลปะวัตถุชิ้นสำคัญ
ในรอบ2-3ปีที่ผ่านมา มีการส่งมอบโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุชิ้นสำคัญให้กับสำนักโบราณคดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศอย่างเงียบๆ อยู่เช่นกัน อย่างในปี2555ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสนอ.เชียงแสน จ.เชียงราย ชาวบ้านสบรวก ม.1ต.เวียง อ.เชียงแสน ใกล้สามเหลี่ยมทองคำ ได้มอบโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่เป็นเครื่องประดับ เช่น สร้อย แผ่นทอง ฯลฯ ซึ่งทำจากทองคำประดับตกแต่งอย่างสวยงามรวมจำนวนประมาณ100ชิ้น และมีการตรวจสอบที่พิพิธภัณฑ์ฯ พบว่าทั้งหมดเป็นวัตถุที่เรียกชื่อกันว่า"สร้อยตัว" ทำด้วยแผ่นทองดุนลายหุ้มเงิน11ชิ้น แหวนทองจำนวน6วง กำไลทองแบบขด6วง เต้าปูน2ชิ้น ขันเงิน3ใบ ถาดเงิน1ชิ้น ตลับเงิน1ชิ้น เงินปากหมู เงินผักชี และโลหะเงินหลอมเป็นแผ่นกลมอีกหลายสิบชิ้นรวมทั้งหมดประมาณ100ชิ้น จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ทำการบันทึกลักษณะรายละเอียดเอาไว้เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินของชาติต่อไป
โดยเบื้องต้นคาดโบราณวัตถุทั้งหมดน่าจะมีอายุอยู่ในช่วงสมัยอาณาจักรล้านนา พุทธศตวรรษที่22หรือราวปี2101หรือประมาณ400ปีก่อน
ในปี2556ชูศักดิ์ กับวันเพ็ญ ช่วยบำรุงสามีภรรยาที่มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ได้รวบรวมโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุประเภทเครื่องประดับและลูกปัดโบราณไว้จำนวนมากมานานกว่า7ปีแล้ว ได้เข้าปรึกษากับเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรและ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ อดีต ผบช.น.เพื่อนำวัตถุโบราณทั้งหมดทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และถวายที่ดินในบริเวณดังกล่าวอีก5ไร่เพื่อสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นและยกให้เป็นสมบัติของทางราชการ ซึ่งอายุของวัตถุโบราณที่พบนั้นเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรตรวจสอบแล้วบอกว่า อายุไม่ต่ำกว่า1,000ปี
และเมื่อเดือนมี.ค.2557ที่ผ่านมา ก็มีการขุดค้นพบศิวลึงค์ทองคำ2องค์ ซึ่งขุดค้นพบจากถ้ำบนเขาพลีเมือง ต.สิชล อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช โดยเสกสันต์ นาคกลัด ชาวบ้านได้เข้าไปขุดมูลค้างคาวในถ้ำดังกล่าว พบแผ่นอิฐขนาด16ซม. ยาว30ซม. เรียงกันอยู่จึงงัดแผ่นอิฐดังกล่าว พบอิฐแผ่นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเมื่อยกอิฐขึ้นก็พบว่าภายในมีผอบทำด้วยโลหะมีฝาปิด เมื่อเปิดฝาผอบออกจึงพบศิวลึงค์ทองคำ จากการตรวจสอบของกรมศิลปากรพบว่า ศิวลึงค์ทองคำ องค์แรกมีขนาดความสูงรวม2ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง0.8ซม. น้ำหนัก12.7กรัม ส่วนองค์ที่2ขนาดส่วนสูงรวม2ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง0.9ซม. น้ำหนัก19กรัม
จากการประเมินอายุและลักษณะของศิวลึงค์ ซึ่งเป็นแบบประเพณีนิยมอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่12หรือมีอายุกว่า1,000ปี โดยผู้ค้นพบได้ประสานจะมอบศิวลึงค์ที่ขุดพบให้กับกรมศิลปากร เพื่อเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ โดยจะมีพิธีมอบในวันที่1เม.ย.ที่ผ่านมาและมีการนำไปจัดแสดงเพื่อให้ประชาชนได้ชมและศึกษาที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร1องค์ และอีก1องค์จะนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช
ยุคปลุกจิตสำนึก"ส่งคืนโบราณวัตถุศิลปวัตถุ"
อธิบดีกรมศิลปากร เอนก สีหามาตย์ ยอมรับว่า การตื่นทองคำโบราณที่พัทลุงสามารถสร้างกระแสส่งคืนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ให้กับกรมศิลปากรผ่านสำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศอย่างไม่น่าเชื่อ
"สำหรับกรณีที่ชาวบ้านนำทองคำที่ขุดได้ที่อ.เขาชัยวน จ.พัทลุง มามอบให้11ราย ถือว่าเป็นมิติใหม่ เพราะสมัยก่อนเรามีข้อจำกัดในเรื่องบุคลากรที่มีน้อยความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่มีความคิดเดิมๆ ที่คิดว่าเจอโบราณวัตถุต้องเอาของเข้าพิพิธภัณฑ์หมด แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้วที่จะส่งของเข้าพิพิธภัณฑ์ที่กรุงเทพฯ ที่เดียว ฉะนั้นของที่พบในสมัยนี้จึงมีรางวัลให้เพราะคนจะได้ไม่ซ่อนเร้นไม่เก็บไว้กับตัว และอีกส่วนหนึ่งเขาก็มีโอกาสได้เห็นสิ่งที่เขามอบให้กรมศิลปากรในพิพิธภัณฑ์ใกล้บ้าน ไปดูเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งปรากฏการณ์ที่พัทลุงเป็นสิ่งที่ดีที่มีคนส่งมอบโบราณวัตถุที่เป็นทองคำให้ถึง11ราย ถือว่าเยอะมากและเป็นตัวอย่างที่ดี
"เรื่องการส่งมอบทองคำโบราณที่พัทลุงน่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของชาวบ้านทั่วประเทศในเรื่องการเจอโบราณวัตถุเพราะถ้าเราพบสัมฤทธิ์หรือภาชนะดินเผาธรรมดาก็จะไม่ดังไปทั่วประเทศ คนก็เลยตามข่าวก็รู้ว่าราชการหรือกรมศิลปากรทำอะไรให้กับคนค้นพบบ้าง เรื่องนี้น่าจะเป็นตัวอย่างที่ทำให้คนที่ค้นพบโบราณวัตถุและครอบครองคิดว่ามันไม่ใช่ของเขานะ ราชการเขาให้เงินรางวัลจะเอาซ่อนไว้ที่บ้านก็ไม่มีความสุข หวาดระแวงกลัวตำรวจมาจับ เข้าข่ายมีเงินแต่ไม่มีความสุขได้ของมาเหมือนเป็นทุกขลาภ เขาก็คงเปลี่ยนใจกันบ้าง บ้านเมืองเจริญขึ้นแล้วความลับไม่มี"
อธิบดีกรมศิลป์ เอนก ยังขยายความต่อว่านโยบายมอบรางวัลหนึ่งในสามของมูลค่าประเมินนั้นมีมานานแล้ว แต่สมัยก่อนกรมศิลปากรไม่ค่อยได้ประชาสัมพันธ์ อีกอย่างหนึ่งความรู้เรื่องกฎหมายอาจจะยังไม่กว้างขวางไม่มีสื่อเอาข้อมูลไปนำเสนอมากเหมือนในสมัยนี้แล้วยุคนี้มีโซเชียลมีเดีย
"กรมศิลปากรทำงานเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ต้องมีชุมชนเป็นส่วนประกอบที่จะมาช่วยสนับสนุนให้งานเราเดินไปอย่างดี ให้คนได้เห็นว่ามีความสำคัญเห็นคุณค่ามากขึ้น เป็นส่วนหนึ่งที่จะมาช่วยเรา นี่เป็นความดีของการทำงานกับชุมชนแล้วสื่อออกไปให้กว้างอีกอย่างหนึ่งในบ้านเรามีทั้งประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนราชการ พระสงฆ์ ห้าปราชญ์ชาวบ้านหรือผู้ทรงคุณวุฒิในท้องถิ่น ความร่วมมือของกลุ่มคนทั้งหมดนี้ทำให้กรมศิลปากรทำงานง่ายขึ้น เมื่อมีการแลกเปลี่ยนความรู้ความเห็นกันมันเป็นเรื่องของส่วนรวมทั้งนั้นซึ่งจะทำให้การทำงานด้านอนุรักษ์ดีกว่าเดิม เพราะคนเริ่มรับรู้และเห็นความสำคัญ เห็นว่าทางราชการจะบังคับหรือยึดเอาของที่เขาพบ ก็ยังเปิดโอกาสให้เข้ามาส่งมอบและให้รางวัล รวมถึงมีชื่อติดไว้ในพิพิธภัณฑ์เป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูล
"ส่วนเรื่องงบประมาณอาจมีปัญหาบ้างแต่โบราณวัตถุชิ้นสำคัญๆ ไม่ได้พบเจอกันทุกวันหรือหากันง่ายๆ สิบถึงยี่สิบปีกว่าจะมีเหตุการณ์อย่างนี้สักที ซึ่งไม่ใช่เรื่องประจำที่ต้องควักต้องจ่ายเพื่อเงินรางวัลในส่วนนี้เป็นโอกาสพิเศษและสิ่งที่ไม่คาดคิด เมื่อมีความสำคัญก็ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินมาเป็นเงินรางวัล ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหา"
อธิบดีกรมศิลป์ ชี้ว่า กระบวนการประเมินคุณค่าโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ มีกระบวนการคือการรับต้องมีพยานหลักฐานต้องมีบันทึกและมีพยาน มีรูปถ่ายมีการวัดขนาดและชั่งน้ำหนักเบื้องต้นก่อน
"พอได้ตรงนี้ผู้อำนวยการสำนักโบราณสถานและผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในแต่ละหน่วยในพื้นที่ก็จะนำมาส่งที่สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ส่งมอบเสร็จก็จะนำเข้าไปเก็บไว้ในตู้นิรภัย โดยมีเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบอย่างน้อยสามคน แล้วก็จะมีการนัดคณะกรรมการซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ ด้านโบราณคดีและด้านวิทยาศาสตร์มาร่วมกันตรวจสอบ โดยตรวจสอบทั้งคุณค่าทางประวัติศาสตร์และมูลค่าในลักษณะเป็นของมีค่า แล้วจะเป็นราคาประเมินโดยผ่านคณะกรรมการออกมา สมมติว่าประเมินออกมาสามแสนบาท เราก็จะมอบหนึ่งแสนบาทหรือมูลค่า1ใน3ให้กับผู้ส่งมอบโบราณวัตถุชิ้นนั้น ขั้นตอนของการส่งมอบรางวัลจะจบลงตรงนี้"
ที่สำคัญในปัจจุบันนี้ เอนก บอกว่า กรมศิลปากรมีโครงการสำรวจขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ในความครอบครองของวัดและเอกชน ดำเนินงานโดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มีวัตถุประสงค์ คือ
เพื่อคุ้มครองรักษามรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติที่อยู่ในความครอบครองของเอกชน และตามวัดวาอารามต่างๆ โดยมิให้มีการเคลื่อนย้ายหรือลักลอบนำออกนอกราชอาณาจักร ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งในการป้องกันการทำลายและลักลอบโจรกรรมศิลปโบราณวัตถุ
เพื่อเก็บรวบรวมเป็นหลักฐานสำคัญและเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปกรรมของชาติสืบต่อไป
"ขึ้นทะเบียนไว้เพื่อให้รับรู้ว่าบ้านเรามีโบราณวัตถุชิ้นนี้ในความครอบครองของใคร ซึ่งข้อมูลพวกนี้ก็จะเป็นประโยชน์ในการศึกษาทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ และประวัติศาสตร์ศิลป์ ได้ประโยชน์ในแง่วิชาการและงานวิจัยและโบราณวัตถุชิ้นนั้นก็ยังอยู่ในความครอบครองของเจ้าของ เพียงให้กรมศิลปากรลงทะเบียนโบราณวัตถุไว้ ถ้าวันหนึ่งเกิดสูญหายก็จะมีหลักฐานไปสืบค้นได้ว่า ของชิ้นนี้มีอยู่จริงหรือถูกโจรกรรมไปต่างประเทศก็สามารถทวงคืนกลับมาได้ เพราะมีหลักฐานลงทะเบียนโบราณวัตถุไว้ของกรมศิลปากร อยากฝากภาคเอกชนไว้ว่า อย่าคิดว่ากรมศิลปากรจะไปยึด คิดว่ากรมศิลปากรอยากได้ข้อมูลความรู้จากท่านเพื่อให้สาธารณชนได้ศึกษาวิจัยได้รู้ว่ามีโบราณวัตถุที่มีความสำคัญอยู่ในบ้านเรา ในอนาคตอาจจะมอบให้กรมศิลปากรยืมจัดแสดงก็ได้ ซึ่งมีข้อตกลงกัน ถือว่าเป็นการครอบครองจากรุ่นต่อรุ่น และเพื่อให้เก็บรักษาอย่างปลอดภัย"
กฎหมายที่เกี่ยวกับโบราณวัตถุ
โบราณวัตถุ หมายความว่า สังหาริมทรัพย์ที่เป็นของโบราณ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์หรือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือที่เป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของโบราณสถาน ซึ่งโดยอายุหรือโดยลักษณะแห่งการประดิษฐ์ หรือโดยหลักฐานเกี่ยวกับประวัติของสังหาริมทรัพย์นั้น เป็นประโยชน์ในทางศิลปประวัติศาสตร์หรือโบราณคดี (มาตรา4)
โบราณวัตถุ : การค้นพบ ครอบครอง และรางวัล
โบราณวัตถุที่ถูกซ่อนหรือทอดทิ้งหรือฝังไว้ในดินแดนประเทศไทย โดยไม่มีผู้ใดสามารถอ้างได้ว่าเป็นเจ้าของ ไม่ว่าสถานที่ที่พบจะอยู่ในกรรมสิทธิ์ของบุคคลใดก็ตาม ให้โบราณวัตถุนั้นตกเป็นของแผ่นดิน (จะโอน ขาย หรือแลกเปลี่ยนกันไม่ได้) (มาตรา24และมาตรา18)
ผู้ที่พบหรือเก็บโบราณวัตถุได้ ต้องส่งมอบโบราณวัตถุนั้นให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากร หรือพนักงานฝ่ายปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเร็ว (มาตรา24)
หากยึดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1323เกี่ยวกับการเก็บทรัพย์สินได้นั้น ผู้พบโบราณวัตถุจำเป็นต้องส่งมอบโบราณวัตถุให้พนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน3วัน นับจากวันที่พบ หลังจากส่งมอบให้พนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบจะต้องแจ้งรายงานต่ออธิบดีกรมศิลปากร และอธิบดีจะดำเนินการแต่งตั้ง "คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าของทรัพย์สินและเงินรางวัล" (มาตรา24)
ผู้พบโบราณวัตถุมีสิทธิได้รับรางวัลไม่เกิน1ใน3ของมูลค่าโบราณวัตถุตามที่คณะกรรมการพิจารณาประเมิน ทั้งนี้หากผู้พบโบราณวัตถุไม่พอใจค่าของโบราณวัตถุตามที่คณะกรรมการประเมิน สามารถยื่นอุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมศิลปากรได้ภายใน15วัน นับจากวันที่ทราบค่าของโบราณวัตถุ ซึ่งอธิบดีจะดำเนินการวินิจฉัย และคำวินิจฉัยของอธิบดีจะถือเป็นที่สุด (มาตรา24)
บทกำหนดโทษ
ผู้ที่พบหรือเก็บโบราณวัตถุได้แล้วไม่แจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และเบียดบังเอาโบราณวัตถุนั้นมาเป็นของตนเองหรือของผู้อื่นมีโทษจำคุกไม่เกิน7ปี หรือปรับไม่เกิน7แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา31)
ผู้ที่ซ่อน จำหน่าย เอาไป รับซื้อ รับจำนำ หรือรับเอาโบราณวัตถุที่ได้มาผิดกฎหมาย(ตามมาตรา31)ไว้ไม่ว่าในกรณีใดๆ (นอกเหนือจากพนักงานเจ้าหน้าที่) มีโทษจำคุกไม่เกิน5ปี หรือปรับไม่เกิน5แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากเป็นการกระทำเพื่อการค้าผู้กระทำผิดมีโทษจำคุกไม่เกิน7ปี หรือปรับไม่เกิน7แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา31ทวิ)


