จากสองนคราสู่การเมืองลูกผสม
ผมคิดว่าการเมืองมันก้าวหน้าขึ้น แต่ที่มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะยังหารูปแบบ หรือลักษณ์ที่เหมาะสมได้ไม่ลงรอย
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
เข้าใกล้ 1 เดือนของการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำควบคุมอำนาจการปกครอง แน่นอน การรัฐประหารในปี พ.ศ.นี้ ที่ซึ่งมีความแตกต่างระหว่างอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างสุดขั้ว รวมถึงมีเหตุผลสำคัญในการควบคุมอำนาจเพื่อแก้วิกฤตการเมือง ย่อมมีทั้งเสียงปรบมือและเสียงตำหนิคละเคล้ากันไป นั่นทำให้|เดิมพันในการแก้โจทย์ที่ซับซ้อนขนาดนี้สูงลิบ และทำให้สถานะของผู้นำรัฐประหารไม่อาจนิ่งเฉยเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
“โพสต์ทูเดย์” พูดคุยกับ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ คณบดีวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ศาสตราจารย์เจ้าของทฤษฎี “สองนคราประชาธิปไตย” “คนชนบท ตั้งรัฐบาล คนกรุงล้มรัฐบาล” อันลือลั่น และหนึ่งในนักวิเคราะห์ปรากฏการณ์การเมืองไทยที่เฉียบแหลมมากที่สุดคนหนึ่ง เพื่อวิพากษ์สถานการณ์ในวันที่เผด็จการรัฐสภากำลังง่อนแง่น ภายใต้การเคลื่อนไหวครั้งยิ่งใหญ่ของประชาชน ถูกเปลี่ยนให้เป็น “เผด็จการทหาร” แทนในเวลาชั่วข้ามคืน
“เหตุการณ์ทางการเมืองมันขึ้นอยู่กับกรอบที่เราใช้ในการมอง เมื่อก่อนกรอบของเราคือกรอบที่ว่าด้วยทหารปกครองประเทศ มานานแสนนาน แล้วพลเรือนก็ลุกขึ้นสู้ สู้ได้สำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งในเหตุการณ์ 14 ต.ค. เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 35 เราก็คิดว่ายังไงทหารออกไปมันก็คงเป็นประชาธิปไตย แต่พอปี 2549 เรามีปฏิวัติอีกรอบ ผมก็คิดว่าเป็นระยะเปลี่ยนผ่าน แต่พอ 2557 ยึดอำนาจอีก ผมคิดว่ามันไม่ใช่ระยะเปลี่ยนผ่านแล้ว มันคือลักษณะเฉพาะของการเมืองการปกครองของเรา” เอนก เล่าให้ฟัง
ลักษณะเฉพาะในที่นี้คือลูกผสมระหว่าง “การปกครองแบบรัฏฐาธิปัตย์โดยทหาร” และ “การปกครองแบบประชาธิปไตย” ซึ่งเอนกเรียกง่ายๆ ว่าเป็นการเมืองแบบ “ทวิลักษณ์” หรือลักษณะเฉพาะ 2 แบบ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่ยากนัก
“หมายความว่าถ้าคุณเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย มีฐานมาจากการเลือกตั้ง คุณต้องทำให้ดี มีฐานสนับสนุนให้มาก อย่าไปคิด|แต่เพียงว่ามีเสียงข้างมากในรัฐสภา อย่าไปคิดว่ามีเสียงส่วนใหญ่สนับสนุน แล้วคุณจะอยู่ได้ เพราะมันมีโอกาสที่คณะทหารขึ้นมาปกครองแบบรัฏฐาธิปัตย์มันเกิดขึ้นได้ไม่ยากนัก เพราะฉะนั้น คุณอย่าไปตั้งอยู่ในความประมาท ต้องทำความดี เอาชนะใจประชาชน นักวิชาการ ข้าราชการ ทหาร อย่าละเลยคนกลุ่มนี้เป็นอันขาด” เอนกพูดถึงรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นลักษณ์ที่ 1
ส่วนลักษณ์ที่ 2 อย่างการปกครองแบบรัฏฐาธิปัตย์โดยทหารนั้น เอนกบอกว่า กลุ่มนี้ก็ดำรงตนอยู่ยากเช่นเดียวกัน เนื่องจากโอกาสที่จะพลิกกลับไปเป็นแบบประชาธิปไตยนั้นไม่ยาก และประชาชนที่เคยออกมาเชียร์ ถ่ายรูปคู่ หรือให้กำลังใจในช่วงแรก มันก็สามารถออกมาไล่ได้อีกเช่นเดียวกัน ซึ่งในประวัติศาสตร์เองก็มีให้เห็นแล้วหลายครั้ง เพราะฉะนั้นก็ต้องเอาชนะใจประชาชนครั้งใหญ่
“เขาอาจจะบอกว่าทำตามกฎหมายทุกวิถีทาง แต่เมื่อเขายึดอำนาจ ก็แปลว่าเขาทำนอกกฎหมายแล้ว เพราะใช้อำนาจรัฐเข้ามายึดอำนาจเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งการปกครองแบบไทยๆ องค์ประกอบของรัฏฐาธิปัตย์มี 2 อย่าง ก็คือ 1.กระบอกปืน ระเบียบวินัยที่เคร่งครัด ในกลุ่มคนที่พกปืน และ 2.มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เมื่อนำมารวมกับความคุ้นชินของคนไทยที่อยู่กับระบบทวิลักษณ์มานาน พอรัฏฐาธิปัตย์เรียกคนมารายงานตัว ก็ไม่เห็นมีใครกล้าไม่ไปรายงานเลย ปลัดกระทรวงก็ไปกันทุกกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าฯ ทูต แม้แต่คนที่ต่อต้านก็ไปกันหมด”เอนกแสดงความคิดเห็น
เอนก บอกว่า แม้คนส่วนใหญ่จะชอบประชาธิปไตยแบบการเลือกตั้ง แต่รูปแบบเศรษฐกิจ สังคม การเมืองไทย ก็ยังเอื้อให้เกิดอีกลักษณ์หนึ่งได้ตลอดเวลา ซึ่งไม่ว่าจะเถียงกันว่าเหมาะสมหรือไม่ แต่ต้องยอมรับว่าคนไทยจำนวนมากยอมรับว่าเป็นวิถีที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อไปแล้ว
“เรื่องนี้สำคัญ คนที่ปกครองแบบประชาธิปไตย ต้องเลิกโทษคนอื่นว่าทหารไม่ดี มีอภิชน มีอำมาตย์หนุนหลัง คือมันอาจจะจริงก็ได้ หรือไม่จริงก็ได้ การโทษคนอื่นมันโทษได้ แต่คนที่ทำการใหญ่มันต้องโทษตัวเองให้มากสักหน่อย คนที่ขึ้นมาปกครองหลังมีรัฐธรรมนูญต้องจำใส่ใจเลยว่าทำดีให้มากๆ” เอนก ระบุ
การปกครองแบบ"ทวิลักษณ์"
เอนกตั้งข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า ลักษณะพิเศษอีกอย่างของระบอบทหารเป็นใหญ่ก็คือ มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้ประโยชน์ตามไปด้วย ซึ่งก็คือ “ข้าราชการประจำ” โดยเฉพาะข้าราชการระดับสูงที่นั่งอยู่ในเก้าอี้ปลัดกระทรวง หรืออธิบดี ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นคนของนักการเมือง แต่ขณะนี้กลายเป็นอีกหนึ่งอำนาจที่ทหารไว้วางใจและเลือกใช้คนเหล่านี้ให้เป็นคนทำงานแทน
เมื่อถามถึงเสียงวิจารณ์ที่ระบุว่า หากการรัฐประหารเป็นวิธีการเข้าสู่อำนาจที่ผิด แล้วสังคมไทยจะได้การปฏิรูปอะไรที่ดีขึ้นจากการรัฐประหาร เอนกตอบว่า ในการปกครองแบบ “ทวิลักษณ์” คนไทยจำนวนมากไม่ได้ยึดประชาธิปไตยเป็นสรณะเพียงอย่างเดียว และเหตุการณ์ความวุ่นวายตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ก็ทำให้คนไทยจำนวนหนึ่งเห็นแล้วว่าประชาธิปไตยไม่สามารถหาทางออกได้เช่นเดียวกัน แม้แต่ตัวเขาเองในฐานะนักรัฐศาสตร์ก็ไม่เห็นว่าจะมีทางออกอย่างไร เพราะทุกอย่างถึงทางตันไปเกือบทั้งหมด
“มันไม่ใช่เรื่องคุณทักษิณอย่างเดียว แต่ปัญหาอื่นๆ มันยุ่งไปหมด กฎหมายมาตรานู่นนี่ แม้กระทั่งการเอาเงินออกมาช่วยชาวนาก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ในวิธีคิดแบบไทยๆ รัฐธรรมนูญไม่ใช่อะไรที่ศักดิ์สิทธิ์มากนัก ฉีกมันทิ้งก็ได้ เดี๋ยวร่างใหม่ เราไม่เห็นรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่โตที่จะฉีกทิ้งไม่ได้ ถ้ามันยุ่งมากก็ฉีกทิ้ง เราอาจไม่ได้เป็นคนฉีกเอง แต่ถ้ามีคนฉีกก็บอกว่า เอ้า! ไม่คิดถึงเรื่องข้างหลัง มาเริ่มกันใหม่ แล้วก็จะคิดกันว่า เวลาที่ทหารยึดอำนาจแล้ว อย่าให้เสียของ เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง”เอนก เล่าให้ฟัง
ถามว่าการรัฐประหารทำให้ประเทศถอยหลังหรือไม่ เอนกตอบทันทีว่า หากมองการเมืองไทยเป็นเรื่องการเปลี่ยนผ่าน แน่นอนการยึดอำนาจก็คือการถอยหลัง แต่หากมองว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับสภาพการเมือง เศรษฐกิจ สังคม หรือมองเป็นทวิลักษณ์ วันนี้ก็ถึงฤดูของรัฏฐาธิปัตย์แบบทหารแล้ว
“ผมคิดว่าการเมืองมันก้าวหน้าขึ้น แต่ที่มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะยังหารูปแบบ หรือลักษณ์ที่เหมาะสมได้ไม่ลงรอย ถามว่ามันควรจะเป็นลักษณ์เดียวไหม ผมก็ตอบว่าไม่จำเป็น เพราะแต่ละที่มันไม่เหมือนกัน แต่มันขึ้นกับฝีมือ หลักเหตุผลที่เอาไปใช้ ในอนาคต ถ้าการปกครองแบบตะวันตกมันเสื่อมลงไป บางทีคนอาจถามหารัฏฐาธิปัตย์มากกว่า แต่หลักใหญ่จะต้องไม่เปลี่ยน โดยเฉพาะหลักที่รัฐบาลต้องทำให้ประชาชนส่วนมากได้ประโยชน์”เอนก วิเคราะห์
ถามถึงทฤษฎี “สองนคราประชาธิปไตย” อันลือลั่น ซึ่งเอนกเคยตั้งข้อสังเกตไว้เมื่อ 20 ปีก่อน ยังใช้ได้หรือไม่ในทุกวันนี้ เอนกยิ้มชอบใจ ก่อนจะตอบว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“มีคนมาบอกผมว่า โอ้โห ทฤษฎี สองนครานี่เป๊ะเลย อีกวันก็บอกว่า อาจารย์ มันหมดไปแล้ว (หัวเราะ) คือสังคมไทยมันก็เปลี่ยนไปเยอะนะ คนชนบทเดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้ว กลายเป็นชนชั้นกลางกันหมด โอเค เราได้เห็นคนกรุงจำนวนมากเดินขบวนไล่รัฐบาล แต่เขาก็ไม่ได้ล้มรัฐบาล สุดท้ายกลายเป็นทหารออกมายึดอำนาจแทน ส่วนคนชนบทยังมีส่วนตั้งรัฐบาลอยู่ไหม เขาก็มีส่วนอยู่เยอะ แต่รักษาได้ไหม คนชนบทที่เป็นคนเสื้อแดงจำนวนมากที่เราคิดว่ามีพลัง วันที่ทหารยึดอำนาจ เขาก็ปกป้องรัฐบาลของเขาไม่ได้อยู่ดี” เอนก เล่าให้ฟัง
ในความคิดเห็นของเอนก เขาบอกว่า “ชนบท” ในนิยามเมื่อ 20 ปีก่อนนั้น ถูกเปลี่ยนเป็น “เมืองขนาดเล็ก” ทั้งหมดแล้ว และคนที่เป็นชนบทเองก็ถูกเปลี่ยนเป็นชนชั้นกลางหมดแล้ว
“ถ้าคนเสื้อแดงยังยึดความเป็นรากหญ้า ก็ต้องคิดใหม่ เพราะระบบการผลิตทำให้รากหญ้าลดลง เปลี่ยนเป็นคนรากหญ้าจะ|เป็นชนชั้นกลางมากขึ้นเรื่อยๆ การยึดเอารากหญ้ามันใช้ไม่ได้ตลอดกาล และมันก็ไม่ใช่ทิศทางของสังคม โอเค ถ้าสังคมมันยากจนล้าหลัง คนเกิดมากมาย ชนบทสงบนิ่ง คนมากๆ ทำมาหากินกับการปลูกข้าว อันนี้เรายึดความเป็นรากหญ้าได้ แต่ประเทศไทย ชนบทแบบเดิมไม่เหลือแล้ว ที่เป็นชนบทก็เป็นเมืองขนาดเล็กเกือบทั้งหมด คนรากหญ้าก็กลายเป็นชนชั้นกลางหมดแล้ว”
อย่าดูถูก"ปรองดองแบบร้องเพลง"
“ความปรองดองสมานฉันท์” และความตั้งใจ “สลายสีเสื้อ” ถูกระบุว่าเป็นความตั้งใจสำคัญของ คสช. จนถึงขั้นตั้ง “ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป” และทำทุกวิถีทางให้แกนนำแต่ละสีได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ตั้งแต่ร้องเพลง กินข้าว หรือดูหนังร่วมกัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่แกนนำทุกฝ่ายถูกบีบไม่ให้เคลื่อนไหว
เอนก บอกว่า บางครั้ง “จิตวิทยามวลชน” แบบทหาร ก็อาจให้คำตอบได้มากกว่าหลักการปรองดองแบบใช้เหตุผล ที่ทุกฝ่ายพยายามทำตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา แต่กลับสร้างความขัดแย้งให้มากกว่าเดิม
“การปรองดองด้วยการร้องเพลง จัดรำวง กินข้าวด้วยกัน มองครั้งแรกเราอาจจะดูถูก แต่ผมจะบอกให้พวกนี้มันเป็นจิตวิทยา ไม่ใช่เหตุผล ทำไปเรื่อยๆ มันอาจจะดีก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปดูถูกว่าทหารโง่ เพราะเขาคุ้นเคยกับการจัดการความไม่สงบในชนบท เขาคุ้นเคยกับการสู้กับคอมมิวนิสต์ ผู้ก่อการร้าย เพราะฉะนั้นมันก็ลองดู แต่งเพลง แล้วก็ให้กลับบ้าน บอกทีหลังอย่าทำอีกนะ มันอาจดูตลก แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”เอนก กล่าวก่อนจะหัวเราะ
“ก่อนหน้านี้เราทดลองมาทุกโหมดแล้วนี่ เพื่อให้ปรองดอง แต่มันเป็นโหมดว่าด้วยเหตุผลทั้งนั้น ทั้งเอานักวิชาการต่างประเทศมาจัดการ ใช้หลักวิชาการแบบแอฟริกาใต้ ผมว่าคนเราจะสมานฉันท์ได้ มันต้องมีเรื่องของอารมณ์ด้วย”
เขาบอกว่า ลักษณะพิเศษของสังคมไทยอีกอย่างหนึ่งคือ หากจะปรองดองสมานฉันท์กันได้ ก็ต้องมีอารมณ์กลัว เช่น มีคนบอกว่า “เฮ้ย ตำรวจมา” ทุกคนก็เงียบ เรียบร้อยกันหมด หรือพอทำผิด ก็ต้องจับไปเฆี่ยนทั้งสองพวก ซึ่งวันนี้ คสช.กำลังทำ
“ผมว่าก็ไม่เสียหายอะไร ที่ต้องลองแบบนี้ แต่คุณอย่าประมาท คิดว่ามันจะได้ผลอย่างเดียว หรืออย่าไปดูถูกว่ามันจะไม่ได้ผล มันต้องคิดแบบเต๋าให้มากขึ้น ต้องมีสองอย่าง ใช้เหตุผลอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้อารมณ์ด้วย แต่ผมเชื่อว่าคนไทยมันก็ไม่โหดมากนักหรอก ไม่เหมือนไนจีเรีย ไม่เหมือนซีเรีย ของเราถ้าฝ่ายที่แพ้มันยอมสักพักหนึ่ง หลังจากนั้นมันก็ปล่อย มันก็หยวนกัน”เอนก ระบุ
ถามว่ารัฐบาลใหม่ของ คสช. จะนิรโทษกรรมทั้งสองกลุ่มเพื่อให้วิน-วินกันหรือไม่ เอนกบอกว่า อาจเป็นได้ทั้งสองแบบ คือ 1.นิรโทษกรรมทุกกลุ่มแบบวิน-วิน หรือ 2.ไม่นิรโทษกรรมกับใครทั้งนั้น ยกเว้น คสช. แล้วให้เหลือเฉพาะนักการเมืองรุ่นใหม่เท่านั้น
“ผมว่าอาจจะเป็นอย่างหลังมากกว่า เพราะนักการเมืองที่มีอยู่ทุกวันนี้มีคดีติดตัวกันหมด เขาก็อาจจะบอกว่า โอเค คุณหยุดนะ แล้วให้นักการเมืองใหม่ๆ เข้ามาแทน หรืออาจจะเป็นแบบแรกก็ได้ แต่พูดว่าดำเนินคดีทั้งหมดไว้ก่อน เพราะคุณทักษิณก็เงียบผิดปกติ แต่ผมเชื่อว่าเขาไม่ได้มีแผนอะไรมากนักหรอก ทำไปแบบไทยๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตามสถานการณ์ ตามแรงเชียร์”
รูปแบบการเมืองที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในยุค คสช.จากนี้ เอนกวิเคราะห์ว่า การเมืองอาจกลับมาเป็นแบบยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งมีการคานอำนาจของฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎร และให้นายกรัฐมนตรีเป็นนายกฯ คนกลาง ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง ทำหน้าที่เพื่อคานอำนาจให้ไม่ต้องผูกขาดกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจนเกิดปัญหาอย่างที่ผ่านมา
“ผมไม่อยากพูดมาก เดี๋ยวก็หาว่าผมเป็นลูกป๋าอีก แต่ผมว่ามันอาจต้องมีกลไกที่เขียนในรัฐธรรมนูญให้มันคานอำนาจกัน อาจจะเหมือนในมาเลเซีย ที่พรรคคนจีน มาเลเซีย อินเดีย สามส่วนร่วมกันตั้งรัฐบาล ห้ามส่วนเดียวตั้งรัฐบาล ทั้งที่คนมาเลเซียเกิน 50% เขาจะเลือกเป็นพรรคเดียวปกครองก็ได้ แต่เขารู้ว่าหากเป็นแบบนั้นสังคมไม่มีความสงบแน่ ส่วนของเราจะเป็นรูปแบบไหนทหารต้องไปคิด แต่ผมเชื่อว่า เขาต้องหาวิธีไม่ให้เกิดพรรคการเมืองเสียงข้างมากจนเกิดปัญหาแบบที่ผ่านมาแน่”
ไม่มีนักวิชาการ ในโลกแห่งความเป็นจริง
ในสังคมที่แบ่งเป็นสองฝ่ายชัดเจน หนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกแบ่งซีกเช่นเดียวกันก็คือ “นักวิชาการ” ผู้ที่เคยมีบทบาทในการวิเคราะห์วิจารณ์ผู้มีอำนาจทุกยุคทุกสมัย กลับต้องแผ่วลง โดยเฉพาะในวันที่คณะรัฐประหารยึดอำนาจ และทำให้เสียงของนักวิชาการทุกกลุ่มที่เคยมีเสียงดังก่อนหน้านี้ เบาลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกัน หลายคนก็ถูกคสช.เรียกเข้ารายงานตัวและควบคุมตัวไว้ เราถามเอนกว่ากลัวหรือไม่หากถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นนักวิชาการหนุนรัฐประหาร
“ผมไม่เคยพูดว่าหนุนรัฐประหาร เมื่อ 7-8 ปีก่อน อ.ธงชัย วินิจจะกุล (อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซินเมดิสัน) เคยเขียนมาตำหนินักวิชาการไทยว่าเป็นพวกปฏิบัตินิยม ไม่ออกมาคัดค้านพวกทำผิดหลักการ พวกที่ยึดอำนาจ แต่ผมคิดว่าปฏิบัตินิยมไม่ได้ผิดอะไร เราไม่ควรที่จะเป็นพวกคัมภีร์นิยม แล้วเราต้องรู้ด้วยว่าโลกมันเป็นสองขั้วจริงหรือเปล่า ฝ่ายที่ต้านทักษิณเป็นพวกเผด็จการหรือเปล่า แล้วทหารนี่เป็นพวกที่คิดจะยึดอำนาจพวกตัวเองนานหรือเปล่า”เอนกแสดงความคิดเห็น
เอนกบอกว่าการเป็นนักวิชาการในมุมมองของเขา ต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่าแต่ละกลุ่มมีอะไรผิด อะไรถูก หรือต้องแก้ไขระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาวอย่างไร มากกว่าจะช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือต่อต้านฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทุกเรื่องโดยสิ้นเชิง
“ผมเสียดายนักวิชาการเราหลายคน ด้วยความที่เขารักประชาธิปไตย รักเสรีนิยม ไม่เอาทหาร ทำให้เขากลายเป็นพวกทักษิณไปเลย ถูกผูกไปเลย พื้นเพหลายคนเขาก็ไม่ได้เอาทักษิณ หลายคนก็ตั้งใจเสนออะไรตามหลักการที่ถูกต้อง พอสองเรื่องผูกเข้ากัน มันไม่ได้ง่ายเหมือนวิชาการแล้ว วิชาการมันพิสูจน์ได้ แต่ชีวิตจริงมันไม่ง่ายเหมือนวิชาการ ชีวิตคนที่เป็นจริงมันกลายเป็นอย่างนี้ บางเรื่องถ้าเสนอบางช่วง คนรับได้ แต่ถ้าเขาออกมาเสนอนอกห้องเรียน เขาไม่มีอภิสิทธิ์แล้ว”
“มันไม่มีความเป็นนักวิชาการในโลกความเป็นจริงหรอก เวลาเขาออกมาพูดนอกห้องเรียน ก็กลายเป็นปัญญาชนสาธารณะ สิ่งที่พูดจะมีผลอะไรตามมาแน่นอน เขาก็ต้องมีความรับผิดชอบทุกสิ่งที่พูดไป”
ย้อนกลับไปหลังเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 เอนกซึ่งมีสถานะเป็นนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ ตัดสินใจหนีเข้าป่าเพื่อหนีการตามล่าของรัฐบาล และทำให้เขานึกสงสารนักวิชาการหลายคนซึ่งเขารู้จักดี ที่กำลังตกเป็นเป้าของคสช.ขณะนี้
“ผมสงสารทุกคนที่โดนนะ หลายคนผมรู้จักดี คนที่ออกมาพูดนี่ไม่ได้เป็นคนเข้มแข็ง โลดโผน ส่วนใหญ่ขวัญอ่อนด้วย ถ้าถูกขู่ ถูกตะคอก ยุคที่ผมโดนเนี่ย ผมอายุ 22 ผมยังหนุ่ม ยังแข็งแรง แต่วันนี้พวกเขาที่โดนอายุสี่สิบ ห้าสิบ กันหมด บางคนอายุจะ 60 แล้วด้วยซ้ำ ถ้าโดนแบบเดียวกัน ก็ขวัญหนีดีฝ่อกันหมด ตอนผมสู้ ลูกเมียผมไม่มี ผมก็ไม่ห่วง แต่ตอนนี้เขารู้หมดลูกเมียอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้น มันไม่ง่ายเลย ในการสู้เพื่อปกป้องหลักการบางอย่าง”อเนก กล่าว
ประตูแห่งโอกาสทำสิ่งดีให้บ้านเมือง
รัฏฐาธิปัตย์ในมือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เวลานี้ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ มองว่าเป็นของร้อน อบอุ่น สว่างสำหรับคนที่เห็น แต่นั่นเป็นไฟ เพราะฉะนั้นต้องรีบทำ รีบดำเนินการ รวมทั้งต้องพยายามทำอะไรที่ถูกใจประชาชน จะปฏิรูปอะไร หรือถ้าทำอะไรคนเชียร์ก็จะมีกำลังใจ อย่างเรื่องให้คนไทยได้ดูฟุตบอลโลก (หัวเราะ) แต่คงไม่ถึงขั้นประชานิยมแค่เพียงหาของเย็นมาช่วยดับของร้อน
“อยู่ที่คณะเสนาธิการ ถ้าคิดได้ใช้โอกาสนี้ในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศให้ประเทศไทยกลายเป็นลักษณ์เดียวลักษณ์ประชาธิปไตย ให้เกียรติทหาร ให้เอกสิทธิ์พอสมควร ลักษณ์นี้ก็จะอยู่ต่อไปได้ ทหารทำงานแบบนี้เสี่ยง เพราะดู|เที่ยวนี้ทหารก็อดทนอดกลั้นมาหลายปี ถ้าในแง่แรงกดดันเที่ยวนี้คงกดดันมากกว่าสมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมองว่าทำให้เสียของ เขาจะต้องไม่ทำแบบนั้น ซึ่งจะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่”
เอนก อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงจะต้องไม่ใช่แค่ให้ ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด เข้ามารับหน้าที่ทำงานเหมือนเดิม ซึ่งถูกมองว่าเป็นนักการเมืองในคราบราชการ อย่างการแต่งตั้งที่ปรึกษา 9-10 คน ที่เป็นส่วนประกอบของคนภายนอกที่มีความรู้ความสามารถด้านต่างๆ นั้นรับได้ แต่ตอนหลังทั้งกรรมการการลงทุน บีโอไอ พลังงาน ยังน่าเป็นห่วง หรือการแต่งตั้งคณะทำงานที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้ง ผช.ทบ.เสนาธิการทหารบกเข้ามาดูแล
ทั้งนี้ การปฏิรูปการเมืองต่อไปอาจถึงขั้นต้องเลือกนายกฯ โดยตรงหรืออ้อมที่จะต้องไปคิดในรายละเอียด รวมทั้งต้องให้แต่ละพรรคการเมืองประกาศรายชื่อคนที่จะมาเป็นนายกฯ หรือรัฐมนตรี ไม่ใช่ว่าจะเอานายนู่นนายนี่มาเป็นรัฐมนตรีศึกษา สาธารณสุข คลัง ต่างประเทศ แต่กลับไม่มีความรู้อะไรเลย
ดังนั้น ในการเลือกตั้งจะต้องเสนอชื่อ ครม.ให้คนเห็นเลยว่าเป็นใครบ้าง แต่อาจจะเปลี่ยนได้นิดหน่อย เพราะต้องมีการตั้งรัฐบาลผสม ต้องเอารายชื่อ ครม.สองพรรคประกอบกัน ดังนั้นกรอบต้องเขียนให้มีช่องว่างให้ขยับได้สักหน่อย สมมติมี รมว. 20 กระทรวง รวม รมช.เป็น 40 ตำแหน่ง แต่ละพรรคส่งมา 40 คน ถ้าพรรคไหนเป็นนายกฯ ครึ่งหนึ่งของ ครม.ต้องเป็นรายชื่อที่ได้ประกาศไว้
“ผมก็จะเลือกได้เลย ผมสนใจการศึกษา ชอบนายกฯ ของอีกพรรคมากแต่ไม่ใช่ รมต.ศึกษาของพรรคนั้น ผมก็จะเลือกที่ รมต.ศึกษาดี ตัวนายกฯ ผมก็ไม่วิตกเกินไป พรรคต่างๆ ต้องหาคนที่จะทำให้คนเห็นว่าถ้าตั้งเป็นรัฐมนตรีจะทำให้คนสนใจ รวมทั้งรัฐบาลอยู่ได้ไม่เกินสองสมัย ไม่ว่าจะติดต่อกันหรือไม่ติดต่อกัน ทั้งชีวิตเป็นได้เต็มที่ 8 ปี ยุบสภาไม่ได้ ยังไงก็ต้องอยู่ครบเทอม รัฐสภาไม่ไว้วางใจคุณไม่ได้ ดังนั้นสภาอยู่ครบ 4 ปีแน่ แต่นายกฯ ไม่แน่ เพราะอาจถูกกรรมการทั้งหลายที่ตั้งขึ้นมาตรวจสอบเอาออกได้ องค์กรที่ว่านี้ในกฎหมายมีอยู่แล้วในเวลานี้ แต่ต้องเพิ่มข้อความว่าให้พิจารณาให้แล้วเสร็จไม่เกินหนึ่งปีเพื่อความรวดเร็ว”
ในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรจะต้องทำหน้าที่ออกกฎหมายอย่างเดียว ไม่ต้องมีหน้าที่อื่น เพราะหากคุณมีหน้าที่อย่างหนึ่งคือต้องล้มรัฐบาลคุณก็หาเรื่องมาพูด พูดแต่เรื่องเลวระยำแทนที่จะเอาเวลาไปพูดเรื่องสำคัญกลับไม่ได้พูด แทนที่จะเอาเวลาไปคิดเรื่องกฎหมายกลับไม่ได้คิด กฎหมายไทยออกโดย ครม. เพราะฉะนั้นต้องกำหนดไปเลยว่าฝ่ายบริหารจะไม่ออกกฎหมาย ออกกฎหมายได้อย่างเดียวคือ กฎหมายงบประมาณ ที่เหลือ สส.จะเป็นคนออกกฎหมาย และ สส.ห้ามเป็นรัฐมนตรีต้องแยกกัน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ทำให้การเมืองไทยปั่นป่วนตลอด ผลิตนักการเมืองเลวๆ ออกมาเต็มไปหมด คนจบออกซฟอร์ด เคมบริดจ์ เข้ามาไม่นานก็ทำตัวเหมือนพวกที่ไม่ได้เรียนหนังสือทำ เพราะถ้าทำตัวเป็นสุภาพบุรุษมากใครจะรายงานข่าว พูดเรื่องข้อมูลตัวเลข คนก็ชมนิดหน่อย
ดังนั้น สส.จะต้องไปรู้เรื่องกระทรวงอื่นๆ ดีขึ้น เพราะกระทรวงอยากได้กฎหมายอะไรให้ สส.เป็นคนทำ เหมือนคองเกรสแมนของสหรัฐอเมริกาจะรู้เรื่องต่างประเทศ คลัง สาธารณสุข เยอะเพราะมีหน้าที่ที่ต้องออกกฎหมาย หากไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ออกกฎหมายไม่ได้ กระทรวงต่างๆ ต้องไปมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสภาผู้แทนให้มาก ถ้ารัฐบาลไหนคุมเสียง สส.ไม่ได้ รัฐบาลนั้นก็ต้องอยู่ไปกับกฎหมายเก่า บริหารโดยใช้กฎหมายเก่า รัฐบาลไหน ต้องการผลงานก็ต้องมี สส.ในสภา ต้องเป็นเสียงส่วนมาก
อาจารย์เอนก มองว่า งานสำคัญบางอย่างต้องแยกออกมิให้มีฐานะเป็นองค์กร คล้ายๆ ธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การศึกษาควรตั้งเป็นสำนักการศึกษาแห่งชาติที่ไม่ใช่กระทรวง โดยตั้งคนคนหนึ่งเป็นหัวหน้าวาระ 4 ปี เอาเขาออกไม่ได้และอยู่สูงสุดได้อาจจะ 8 ปี พร้อมกันนั้นการศึกษาถ้ามีแผนแล้วก็ต้องดำเนินการไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา การศึกษาคือการพัฒนาเป็นเรื่องเดียวกัน ถ้าการศึกษาแย่การพัฒนาก็แย่หมด ดังนั้นเรื่องการศึกษาต้องถือเป็นเรื่องใหญ่แยกออกมาจากกระทรวง
“ถ้าเป็นตอนปี 2549 ผมยังลังเลอยู่ว่าไม่มีประเทศไหนทำกัน แต่วันนี้ปี 2556 โลกเป็นบูรพาภิวัฒน์ ไม่ต้องกลัวอเมริกันยุโรป ไม่ใช่แบบของเราที่ตายตัวเหมือนเมื่อก่อน มีการปกครองได้อีกหลายแบบที่ไม่เหมือนตะวันตก จริงๆ เราไม่เหมือนยุโรป อเมริกาอยู่แล้ว แต่จิตใจคนร่างรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่คิดอยู่ว่า แบบไหนที่เยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ อเมริกา มี เราควรจะมีเอาตามเขา
...เพราะฉะนั้นคราวนี้คนร่างรัฐธรรมนูญต้องไม่ใช่เฉพาะนักกฎหมาย แต่อยากให้บ้านเมืองเป็นยังไงก็ให้นักการเมืองไปเขียน แต่อย่าให้อภิปรายเป็นมาตรานะ ผมอภิปรายสู้ไม่ได้ เพราะเขาหยิบเรื่องนู้นจากลิ้นชักนู่นนี่เยอะไปหมด ต้องเอาคอนเซปต์ไปแล้วให้ไปเขียนมา สภาเถียงกันแบบยาวเยื้อย ทำให้ทุกคนก็ต้องพัฒนาให้เป็นนักจุกจิกวิทยา แต่ต่อไปนี้ต้องให้คุยภาษามนุษย์ ความคิดจะได้เปิด”
สำหรับเรื่องภาษีที่ดิน มีคนพร้อมจะให้คำแนะนำ เมืองไทยความคิดเรื่องปฏิรูปมีอยู่เต็มไปหมดในอากาศ คุณต้องไปเอามาใช้อย่าเริ่มคิดใหม่จากศูนย์ปฏิรูปเป็นประมุขศิลป์ ต้องหยิบบางเรื่องมาทำ ไม่ใช่ทำทั้งหมด ซึ่งทำไม่ไหว เรื่องกระจายอำนาจก็น่าคิด ต้องกระจายแบบทำให้ท้องถิ่นมีกำลัง มีความตั้งใจ อย่างแม่สอด แม่สาย หนองคาย ต้องให้เป็นเมืองพิเศษ และให้อำนาจส่วนกลางส่วนภูมิภาคกับเมืองเหล่านี้มากขึ้น ให้เขาบริหารอำเภอของเขากับอำเภอใกล้ๆ
“เข้าสู่ยุคบูรพาภิวัฒน์ต้องเริ่มพัฒนาพูดภาษาง่ายๆ คือ รถไฟรางคู่ต้องเริ่ม รถไฟความเร็วสูงต้องเริ่มแต่ทำตามแบบชอบธรรม อย่าทำแบบทักษิณทำ ทำเป็นแผน 5 ปี ที่ว่าด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแต่ละปียืมเงินมาใช้เหมือนรัฐบาลทุกชุดทำ ไม่จำเป็นต้องยืมมาก่อน สองล้านๆ ทั้งนี้รัฐบาลต่อๆ มาก็ต้องทำไปอีก 5 ปี ต้องทำแบบซื่อสัตย์สุจริต ผมเคยฟังจากต่างประเทศ เขาอยากมาช่วย แต่นักการเมืองถามก่อนว่าเขาจะได้อะไร การเมืองแบบเห็นแก่ตัวต้องขุดรากถอนโคน”
“ฝ่ายยึดอำนาจเวลานี้ต้องทำให้คนเห็นว่าไม่เข้ามาทำเพื่อใคร ต้องไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จุดไหนเสียก็แก้ไข ต้องฉวยโอกาสในการทำความดีให้กับเมืองไทย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายมีปัญหาอุปสรรคเยอะแยะ แต่ตอนนี้เป็นหน้าต่างแห่งโอกาส อย่าเถลิงอำนาจ ลุแก่อำนาจ เหมือนที่ทหารพูดเองว่ายิ่งใหญ่เท่าไหร่ต้องทำตัวเล็ก ต้องรีบชิงทำความดีสำหรับชาติบ้านเมือง”อเนก กล่าวทิ้งท้าย


