posttoday

เขื่อนแม่น้ำโขงระอุหวั่นซ้ำรอยข้อพิพาททะเลจีนใต้

05 มิถุนายน 2557

ขณะที่โลกกำลังจับจ้องกับความขัดแย้งใน ทะเลจีนใต้ ที่ปะทุขึ้นอีกครั้งตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา

โดย...ก้องภพ เทอดสุวรรณ

ขณะที่โลกกำลังจับจ้องกับความขัดแย้งใน ทะเลจีนใต้ ที่ปะทุขึ้นอีกครั้งตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา แต่กระนั้นยังมีอีกความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินไปอย่างเงียบๆ แต่เพิ่มความร้อนแรงขึ้น นั่นก็คือปัญหาการสร้างเขื่อนต่างๆ ที่ขวางกั้นลำน้ำนานาชาติอย่างแม่น้ำโขง โดยที่นักการทูตบางรายของสหรัฐถึงกับมองว่าปัญหานี้มีศักยภาพพอที่จะลุกลามเป็นวิกฤตซ้ำรอยปัญหาทะเลจีนใต้เลยทีเดียว

นั่นเป็นเพราะว่าในขณะนี้การสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่กำลังกลายเป็นว่าหลายประเทศกำลังเข้าไปมีส่วนร่วมในปัญหาในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นประเทศตามแนวลุ่มแม่น้ำโขงเองไปจนถึงระดับมหาอำนาจ โดยเฉพาะในข้อพิพาทการสร้างเขื่อนไซยะบุรี เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งขวางแม่น้ำโขงที่ทางการลาวยืนยันเดินหน้าการก่อสร้างต่อไปเมื่อเร็วๆ นี้

สถานภาพของการเป็น “แบตเตอรี่แห่งเอเชีย” ของลาว คือแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ลาวต้องเดินหน้าการสร้างเขื่อนขนาดยักษ์แห่งนี้ และนั่นยังหมายถึงโอกาสของรายได้ที่จะหลั่งไหลเข้าสู่ลาวจากการขายพลังงานไฟฟ้าให้กับเพื่อนบ้านที่กำลังหิวโหยไฟฟ้าอย่างไทย ซึ่งเขื่อนไซยะบุรีนั้นจะเป็น 1 ใน 9 โครงการสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำของลาวเพื่อส่งไฟฟ้าขายให้กับเพื่อนบ้านทั้งสิ้น

ศาสตราจารย์มิลตัน ออสบอน นักวิชาการชาวออสเตรเลีย ผู้คร่ำหวอดด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาและเจ้าของหนังสือประวัติศาสตร์แห่งลุ่มน้ำโขง มองว่าลาวเชื่อว่าไม่มีทางเลือกมากนักที่จะเสาะหาทุนสำรองระหว่างประเทศนอกเหนือจากรายได้ที่จะหลั่งไหลมาจากการส่งออกพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนเท่านั้น ขณะที่ประเทศที่รับซื้อไฟฟ้าจากลาวมากที่สุดก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเพื่อนบ้านอย่างไทยที่ตกลงจะซื้อไฟฟ้ากว่า 95% ที่ผลิตได้จากเขื่อนไซยะบุรีแห่งนี้

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไทยจะเป็นผู้ให้เงินกู้สำหรับทำโครงการนี้ และบริษัทจากไทยก็เป็นผู้รับเหมารายใหญ่เช่นกัน

แม้ไทยกับลาวจะได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าว กระนั้นเพื่อนบ้านทางปลายน้ำอย่างเวียดนามและกัมพูชากับมีความเห็นต่อต้าน เห็นได้ชัดจากการประชุมคณะกรรมาธิการลุ่มแม่น้ำโขง (เอ็มอาร์ซี) เวียดนามและกัมพูชา ลงเสียงคัดค้านเขื่อนดังกล่าวอย่างแข็งขัน และขอให้มีการชะลอการสร้างออกไปก่อน

เวียดนามและกัมพูชาต่างมองว่าผลกระทบจากเขื่อนดังกล่าวซึ่งจะขวางทางน้ำของแม่น้ำโขงจะส่งผลต่อปริมาณน้ำที่จะมาถึงทั้งสองประเทศ เวียดนาม ซึ่งปริมาณน้ำในแม่น้ำที่ลดลงจะทำให้เกิดภาวะน้ำทะเลหนุนสูงทะลักเข้ามายังที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงของเวียดนามอันเป็นอู่ข้าวอู่น้ำในอุตสาหกรรมการเกษตร และการเพาะปลูกข้าวซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของเวียดนามเช่นกัน

ขณะที่ทางด้านกัมพูชาเกรงว่าการสร้างเขื่อนจะเป็นการขวางทางน้ำที่จะไหลลงสู่โตนเลสาบ ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สุดในกัมพูชา ที่เป็นแหล่งอาหารชาวกัมพูชา แต่รัฐบาลกัมพูชากลับไม่ค่อยแสดงความกังวลอย่างเป็นทางการมากนัก เนื่องจากกัมพูชาเองก็มีแผนจะสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขง 2 แห่ง เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศเช่นกัน

ในระดับความขัดแย้งในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ด้วยกันเอง ต่อกรณีการสร้างเขื่อนนั้น ลำพังอาจไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะจุดชนวนความตึงเครียดขึ้นมาได้ เว้นแต่ว่าปัญหานี้กำลังดึงเอามหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐเข้ามามีส่วนร่วมเข้าแล้ว

ในรายงานขององค์กรการประชุมน้ำโลกปี 2011 เปิดเผยว่า แม้ว่าจีนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับการสร้างเขื่อนในลุ่มแม่น้ำโขงในลาวอย่างออกหน้าออกตานัก ทว่าถ้าหากจีนปล่อยให้กระบวนการขัดขวางการสร้างเขื่อนขวางแม่น้ำโขงในลาวสัมฤทธิผลแล้ว นั่นหมายความว่าผลกระทบก็อาจจะเกิดขึ้นต่อโครงการสร้างเขื่อนของจีนในลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนเช่นกัน ซึ่งในขณะนี้จีนได้สร้างเขื่อนสำเร็จไปแล้ว 3 แห่ง เท่านั้นจากโครงการสร้างทั้งหมดถึง 8 แห่งทีเดียว

นอกไปจากนั้น องค์กรการประชุมน้ำโลกยังเปิดเผยอีกว่ามีบริษัทด้านการก่อสร้างและการเงินของจีนที่เข้าไปมีผลประโยชน์โดยตรงในโครงการสร้างเขื่อนในลาวอย่างน้อย 3 แห่งด้วย

ทั้งนี้ ในปัจจุบันนั้นจีนกำลังขยายอิทธิพลเข้าสู่ลาวอย่างเข้มข้น โดยเป็นทั้งประเทศคู่ค้ารายใหญ่เป็นอับดับ 2 ของลาว (รองจากไทย) และจีนยังเป็นแหล่งที่มาของเงินลงทุนต่างประเทศ (เอฟดีไอ) รายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของลาวด้วย

ขณะที่ทางด้านมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ผู้กำลังจะทวงคืนอิทธิพลในภูมิภาคนี้อีกครั้งตามนโยบายปักหมุดเอเชีย (ไพวอต เอเชีย) และกำลังเข้ามาทีบทบาทอย่างเข้มข้นในความขัดแย้งทะเลจีนใต้ สหรัฐเองย่อมไม่ชอบใจนักที่เห็นอิทธิพลของจีนกำลังคืบคลานลงสู่ภูมิภาคนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งไปกว่านั้นเป็นที่น่าสังเกตว่า เวียดนามซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีนักกับจีนกำลังดึงสหรัฐเข้ามาสู่ปัญหาในลุ่มน้ำโขงนี้อย่างเสียไม่ได้ เพื่อคานอำนาจจีนเช่นกัน

ในระหว่างการเยือนเวียดนามของ จอห์น แคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ เมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น แคร์รีได้กล่าวถึงกรณีการสร้างเขื่อนของลาวว่า “การสร้างเขื่อนในภูมิภาคนี้จำเป็นต้องเป็นไปอย่างระมัดระวังที่สุด”

ถือเป็นท่าทีครั้งแรกๆ ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐที่พุ่งเป้ามาที่การสร้างเขื่อนโดยตรงทีเดียว!

หากย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว ในระหว่างการเดินทางเยือนสหรัฐของประธานาธิบดี ตรวงตันซัง ของเวียดนามทั้งสองประเทศก็ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันชัดเจนว่า “ไม่ควรมีการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขง โดยที่เวียดนามและสหรัฐจะทำงานร่วมกันเพื่อประกันความยั่งยืนและความสมบูรณ์ของดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงและที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างในระยะยาว”

ดังนั้น จึงจะเห็นได้ว่าความขัดแย้งบนลุ่มน้ำโขงแม่น้ำนานาชาติสายหลักที่เชื่อมต่อมหาอำนาจใหญ่อย่างจีนและภูมิภาคอินโดจีนเข้าไว้ด้วยกันนั้น กำลังมีความเสี่ยงที่ความขัดแย้งจะถูกทำให้ขยายตัวออกไปที่มหาอำนาจใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐและจีน กำลังเข้ามามีส่วนร่วมในปัญหามากขึ้นหลังจากนี้ และมีความน่าวิตกกังวลมากขึ้นว่าในที่สุดแล้ว ปัญหาในแม่น้ำโขงอาจจะถูกขยายสเกลความขัดแย้งไปสู่ระดับเดียวกับปัญหาในทะเลจีนใต้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"