แท่นปลาทอง
สัปดาห์ก่อนได้มีโอกาสไปลงพื้นที่เยี่ยมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนแท่นปลาทอง
สัปดาห์ก่อนได้มีโอกาสไปลงพื้นที่เยี่ยมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนแท่นปลาทอง ตั้งอยู่กลางทะเลอ่าวไทย ห่างจากฝั่ง จ.นครศรีธรรมราช กว่า 200 กม. มีบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต เป็นผู้รับสัมปทาน และถือเป็นแท่นกระบวนการผลิตปิโตรเลียมแท่นแรกที่สร้างและประกอบในประเทศไทยจากเดิมที่ต้องมีการนำเข้าอุปกรณ์
ปัจจุบันแท่นปลาทองสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติได้วันละ 360 ล้านลูกบาศก์ฟุต (ลบ.ฟุต) โดยนำเทคโนโลยีของการสำรวจ ขุดเจาะและผลิตก๊าซจากใต้ท้องทะเลมาใช้เพื่อให้เหมาะกับสภาพธรณีวิทยาที่ซับซ้อนของอ่าวไทย เช่น การสำรวจวัดคลื่นไหวสะเทือนแบบสามมิติ เทคนิคการขุดเจาะหลุมแบบแคบ ซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ นำนวัตกรรมและอุปกรณ์ใหม่มาใช้
นอกจากนี้ ยังได้นำระบบเคเบิลใยแก้วใต้น้ำอ่าวไทยเพื่อเพิ่มศักยภาพในการติดต่อสื่อสารและประมวลผลข้อมูลในการทำงานแต่ละวัน และเป็นแห่งแรกของโลก คือการนำระบบใยแก้วนำแสงที่ติดลงไปในหลุมผลิต (Fiber Optic Surveillance) ซึ่งจะสามารถสังเกตการณ์การผลิตได้ตลอดเวลา เพื่อเพิ่มการผลิตหรือเพื่อแก้ไขหลุมได้ดีขึ้นหากเกิดปัญหาในกระบวนการผลิต
ขณะเดียวกัน ได้สัมผัสกับความเป็นอยู่ของพนักงานที่ทำงานประจำแท่น หรือกลางทะเล เป็นการทำงานแบบ 24 ชม. โดยแท่นที่พักอาศัยของแหล่งปลาทองสามารถรับพนักงานได้กว่า 200 คน
อย่างไรก็ตาม การขุดเจาะแหล่งปิโตรเลียมในทะเลอ่าวไทยนั้นต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความซับซ้อน เฉลี่ยแต่ละปีจะต้องขุดหาแหล่งปิโตรเลียมกว่า 400 หลุม ซึ่งก๊าซที่ผลิตได้จากแท่นปลาทองสามารถตอบสนองความต้องการก๊าซของประเทศได้มากกว่า 10% และเป็นหนึ่งใน 27 พื้นที่ผลิตปิโตรเลียมของเชฟรอน ปัจจุบันเชฟรอนสามารถผลิตได้ทั้งก๊าซ น้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติเหลว โดยก๊าซทั้งหมดของเชฟรอนนำไปผลิตเป็นไฟฟ้าได้ 1 ใน 4 ของความต้องการในประเทศ และช่วยลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ
ไพโรจน์ กวียานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต กล่าวว่า ไทยยังเป็นผู้นำเข้าพลังงานมาโดยตลอด เนื่องจากกำลังการผลิตในประเทศยังไม่เพียงพอกับความต้องการ และต้องบริหารจัดการหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ ไว้สำรองใช้ในอนาคต ซึ่งต้องยอมรับว่าแหล่งปิโตรเลียมในไทยยังมีความพิเศษในการขุดเจาะสำรวจ เป็นแหล่งเล็กๆ ต้องมีการขุดเจาะสำรวจจำนวนมากจึงจะมีปริมาณสำรองที่เพิ่มขึ้นและทำให้ต้องใช้เงินลงทุนที่สูง
อย่างไรก็ตาม หากมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการสำรวจที่ดีขึ้นจะทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง แต่แม้ว่าจะใช้เงินลงทุนแค่ไหนต้องยอมรับว่าก๊าซจากอ่าวไทยมีราคาถูกเมื่อเทียบกับในภูมิภาคนี้ ซึ่งก๊าซที่ผลิตได้ส่วนใหญ่จะนำมาผลิตไฟฟ้าเพื่อคนในประเทศ แต่ในระยะยาวหากไทยยังไม่สามารถหาแหล่งสำรองก๊าซใหม่ๆ ได้เพิ่มอีก จะทำให้อนาคตจะต้องใช้วิธีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) มาทดแทน เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าในประเทศยังต้องพึ่งพาก๊าซเป็นเชื้อเพลิงหลักยังถือเป็นความเสี่ยงด้านพลังงาน
ล่าสุดมีความเป็นไปได้ที่จะมีการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่หรือรอบที่ 21 ภายหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เริ่มส่งสัญญาณถึงความจำเป็น


