posttoday

การศึกษาอิสระ

30 พฤษภาคม 2557

ที่คณะรัฐศาสตร์มีวิชาหนึ่ง เราเรียกกันว่า วิชาการศึกษาค้นคว้าอิสระ เป็นวิชาที่เปิดโอกาสให้นิสิตเลือกหัวข้อศึกษาเองตามความสนใจเพื่อทำภาคนิพนธ์ นิสิตจะปรึกษาหัวข้อและแนวทางการศึกษากับอาจารย์ ซึ่งทำหน้าที่ให้คำชี้แนะและความคิดเห็นมากกว่าจะเป็นผู้บรรยาย ก่อนปิดเทอมปลายที่ผ่านมามีนิสิตมาพบ และแจ้งให้ทราบว่าสนใจจะเรียนวิชาดังกล่าว เลยฝากให้เขาไปคิดระหว่างปิดเทอมว่าสนใจหัวข้ออะไร เพื่อคนเป็นอาจารย์จะได้เตรียมตัวได้ถูก

ที่คณะรัฐศาสตร์มีวิชาหนึ่ง เราเรียกกันว่า วิชาการศึกษาค้นคว้าอิสระ เป็นวิชาที่เปิดโอกาสให้นิสิตเลือกหัวข้อศึกษาเองตามความสนใจเพื่อทำภาคนิพนธ์ นิสิตจะปรึกษาหัวข้อและแนวทางการศึกษากับอาจารย์ ซึ่งทำหน้าที่ให้คำชี้แนะและความคิดเห็นมากกว่าจะเป็นผู้บรรยาย ก่อนปิดเทอมปลายที่ผ่านมามีนิสิตมาพบ และแจ้งให้ทราบว่าสนใจจะเรียนวิชาดังกล่าว เลยฝากให้เขาไปคิดระหว่างปิดเทอมว่าสนใจหัวข้ออะไร เพื่อคนเป็นอาจารย์จะได้เตรียมตัวได้ถูก

วันก่อนเขาเขียนประเด็นที่เขาสนใจจะ ค้นคว้าหาคำตอบในการศึกษาอิสระส่งมาให้ว่า

“...ในสถานการณ์แบบนี้ อาจารย์จะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมจะขอเสนอว่า หัวข้อที่ผมสนใจจะทำในเทอมหน้าเป็นเรื่องที่ผมขอตั้งชื่อโก้ๆ ไว้ก่อนว่า รัฐประหารศึกษา จะล่อแหลมเกินไปไหม ถ้าเราจะเรียนเรื่องนี้กัน แต่ผมว่า เรา รัฐศาสตร์ ถ้าจะยังเป็นรัฐศาสตร์ต่อไป จะเลี่ยงไม่เผชิญไม่พูดเรื่องนี้คงไม่ได้ เพราะมันกำลังเกิดอยู่ต่อหน้า แต่ผมก็เป็นห่วงว่าจะทำให้อาจารย์ขลุกขลักไหมครับ บรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบให้ระวังคำพูดจาและการแสดงความคิดเห็น การเรียกให้ไปรายงานตัว หรือ การปักป้ายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารว่า คือพวกทักษิณ อาจทำให้ไม่ใช่เวลาเหมาะ แต่ผมยังอยากคิดว่า ถ้าไม่เหมาะตอนนี้ แล้วตอนไหนจะเหมาะที่จะเรียนเรื่องนี้

“หัวข้อที่ผมอยากให้อาจารย์ช่วยชี้แนะและเลือกงานที่ควรอ่าน ถ้าพูดแบบกว้างคือ เรื่องทหารกับการเมืองและความมั่นคงในประเทศกำลังพัฒนา พูดจำกัดวงให้แคบเข้า ก็เป็นเรื่องการใช้รัฐประหารเป็นเครื่องมือเข้าแทรกแซงทางการเมือง แต่ในส่วนภาคนิพนธ์ ผมอยากทำในบริบทของไทย แต่เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบกับที่อื่นๆ ของต่างประเทศได้ การศึกษากรณีของไทยที่ผมจะทำ จึงคิดว่าน่าจะใช้การจัดประเภทการแทรกแซงทางการเมืองของทหารแบบต่างๆ ที่มีอยู่มาลองจับกับกรณีของไทยดู แล้วเลือกแบบใดแบบหนึ่งออกมาใช้ศึกษาเปรียบเทียบ

“เท่าที่ผมอ่านพบในเบื้องต้น มีการจัดประเภทการแทรกแซงทางการเมืองของทหารในประเทศกำลังพัฒนาเป็นหลายแบบ แบบ ที่ผมว่าน่าลองนำมาใช้ศึกษากรณีการแทรกแซงและรัฐประหารที่เกิดขึ้นในเมืองไทย คือ การเข้ามาแทรกแซงในบทบาทเป็นผู้พิทักษ์ หรือ Guardian ของระบอบการเมืองการปกครอง

“คำถามในเชิงเปรียบเทียบที่น่าสนใจใน บริบทของไทย คือ การทำรัฐประหารคราวนี้ ซึ่งแม้จะเพิ่งเริ่มต้น แต่ดูจะเข้าข่ายการรับบทบาทเป็นผู้พิทักษ์ และอาจจะรวมถึงการเข้ามาเป็น ผู้ตัดสินไกล่เกลี่ยอยู่ด้วย แต่บทบาทหลังคงต้อง ดูกันต่อไป รัฐประหารอีกคราวหนึ่งที่น่าอยู่ในข่ายการเข้ามาทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ของทหาร และน่านำมาเป็นแนวเทียบ คือ คราวที่ผู้นำ คณะราษฎรทำรัฐประหารในปี 2476 เพื่อรักษาระบอบรัฐธรรมนูญที่คณะราษฎรสถาปนาขึ้นเมื่อ 1 ปีก่อนหน้านั้นจากการยึดอำนาจโดยรัฐบาลพลเรือนของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ที่ประกาศพระราชกฤษฎีกางดใช้รัฐธรรมนูญ

“มีคำพูดว่า ถ้าไม่นำอดีตมาช่วยส่องทางให้แก่อนาคตเลย เราก็ได้แต่มุ่งหน้าไปในความ มืดมิด ผมจึงอยากจะลองเดินตามคติของ ต็อกเกอะวิลล์นี้ดู โดยจะสกัดออกมาให้เห็นว่า บทบาทของ ‘คนกลาง’ อย่างพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ที่ในตอนแรกขั้วการเมืองทุกฝ่ายต่างคาดหวังว่าจะช่วยประสานให้เกิดการปรองดองกันได้ระหว่างฝ่ายอำนาจเก่าและฝ่ายอำนาจใหม่ แต่เมื่อคนกลางตัดสินใจเลือกข้างหนึ่งข้างใด ไปแล้ว มันนำไปสู่วิกฤตรัฐธรรมนูญอย่างไร จนผลักดันให้ทหารฝ่ายคณะราษฎรต้องก้าวเข้ามาเล่นบทบาทของผู้พิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญในที่สุด

“แต่ประเด็นใหญ่ของงานภาคนิพนธ์น่าจะอยู่ที่การแสดงให้เห็นว่า เมื่อทหารก้าวเข้ามาเล่นบทบาทของผู้พิทักษ์ อันได้แก่ การรักษาความมั่นคงของตัวระบอบเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะนำไป สู่การขยายอำนาจของกองทัพในระบบการเมือง ที่ส่งผลในทางลบระยะยาวต่อการจัดความสัมพันธ์ระหว่างทหารพลเรือน และสุขภาวะ อันดีของระบอบประชาธิปไตย แต่การขยายบทบาทเช่นนั้นมาพร้อมกับการกวาดล้างปรปักษ์ฝ่ายตรงข้ามด้วยกำลังความรุนแรงหรืออำนาจบังคับอย่างกว้างขวาง เพราะการพิทักษ์มีความหมายในตัวมันเองว่า สิ่งที่ต้องการพิทักษ์กำลังตกอยู่ในอันตรายที่คุกคามการอยู่รอด การกำจัดภัยที่มาคุกคามนั้นจึงเป็นทั้งภารกิจและข้ออ้างให้ความชอบธรรมแก่ปฏิบัติการรวมทั้งการละเมิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามมา

“และที่สำคัญ การทำเช่นนั้นของคณะราษฎรยังเป็นการเปิดศักราชของประเพณีการให้กองทัพเข้ามาเป็นผู้ตัดสิน แทนที่จะเป็นประชาชน ว่าอำนาจการเมืองการปกครองควรพิทักษ์รักษาไว้เพื่อให้ตกอยู่แก่ใครฝ่ายใด ซึ่งผมเห็นว่าเป็น ความแย้งย้อนที่น่าสนใจของความพยายามปกป้องระบอบรัฐธรรมนูญในคราวนั้น...”

ยังมีเวลาอีกพักใหญ่กว่ามหาวิทยาลัยจะเปิดเทอม แต่คนเป็นอาจารย์มีอะไรที่ต้องทำต้องเตรียมให้แก่นิสิตอีกมากทีเดียว เพื่อการศึกษาอิสระของเขา

ข่าวล่าสุด

สยามพิวรรธน์คว้า 2 รางวัลโลก พร้อมเปิด NEXTOPIA สยามพารากอน