posttoday

โจทย์ใหญ่หลังยึดอำนาจ

25 พฤษภาคม 2557

ภารกิจเร่งด่วนนับจากนี้คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ได้รับความเสียหายในช่วงที่ผ่านมาให้ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ

โดย...ทีมข่าวการเมือง

บทเรียนจากรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ยิ่งตอกย้ำว่าการออกมา “ล้มกระดาน” ของกองทัพไม่ใช่ทางออกจากวังวนวิกฤต และถือเป็นโจทย์ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องตริตรองให้ดีสำหรับก้าวต่อๆ ไป นับจากรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 เพื่อพาประเทศหลุดพ้นวังวนนี้ให้ได้

ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า หากเปรียบการรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย. 2549 เหมือนงูฉกที่ดำเนินการอย่างรวดเร็วไม่ทันได้ตั้งตัว ส่วนการรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 เปรียบเหมือนงูหลามค่อยๆ เขมือบๆ จากการประกาศกฎอัยการศึกมาจนรัฐประหาร ซึ่งจนถึงเวลานี้ผ่านมาสองวันแล้วก็ยังถือว่าไม่สะเด็ดน้ำ ยังไม่เบ็ดเสร็จ เร็วเกินไปที่จะไปพูดสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่จะเป็นปัญหาตามมาคือท่าทีของคณะรัฐประหาร เพราะที่ผ่านมา 5-6 เดือน มีภาพลักษณ์โน้มเอียงไปยัง กปปส.มาตลอด ต่างจากสมัย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่ไม่ได้เข้ากับพันธมิตรฯ จึงต้องระวังว่าจะถูกมองว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิดหรือไม่ ทหารต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจน เพราะแค่การประกาศให้คนสองฝั่งมารายงานตัว ห้ามไปต่างประเทศ ยังเป็นแค่เปลือกนอกฉาบฉวย ต้องดูต่อไป

ไชยันต์ กล่าวว่า ปัญหาต่อจากนี้ไม่ต้องมองไปไกลถึงขั้นรัฐบาลพลัดถิ่น แค่กลุ่มคนไม่เห็นด้วยออกมาคัดค้านก็จะเป็นปัญหาเหมือนสมัยหลังรัฐประหาร 2549 มีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ออกมาคัดค้านที่สนามหลวงวันนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกฯ บิ๊กบังเป็นคนดูแลความสงบ ยังเห็นขัดแย้งกันว่าจะปล่อยให้ชุมนุมหรือไม่ให้ชุมนุมจนสุดท้ายปล่อยให้ชุมนุมและขยายมาเรื่อยๆ

แต่สมัยนี้มีทั้งเสื้อแดงและกลุ่มที่ต่อต้านรัฐประหารชาวบ้านคนที่ได้รับผลกระทบจากเคอร์ฟิวออกมาพร้อมๆ กันก็ลำบาก ไม่ต้องไปพูดถึงรัฐบาลพลัดถิ่น แต่หากเลิกเคอร์ฟิวเร็วไปโดยยังไม่อาจควบคุมความรุนแรงก็เป็นปัญหา ป่านนี้แกนนำ นปช.คงแอบยิ้มที่เคยพูดไว้ว่า “ยึดอำนาจได้ ปกครองไม่ได้” อาจเป็นจริง ยังไม่รวมกับปัญหาภายในกองทัพกับการตั้ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เป็นเลขา คสช. แสดงว่าจ่อเป็น ผบ.ทบ. ดังนั้น คนที่จะข้ามห้วยมาเป็น ผบ.ทบ.ที่จะเป็นปัญหาเสี่ยงแตกกันเองอีก

อย่างไรก็ตาม ถามว่ารัฐประหารครั้งนี้ถามว่าใครได้ใครเสีย ประชาชนคนกลางๆ ก็ได้ความสงบจากการยุติการชุมนุมของมวลชนทั้งสองฝ่าย ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าจะยืดเยื้อยาวนานแค่ไหน ทางฝั่ง กปปส.ได้ ครม.รักษาการพ้นตำแหน่ง ได้นายกฯ คนกลาง เสื้อแดงได้รัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งทั้งพรรคเพื่อไทย และ นปช.จะต้องออกแรงเข้ามามีส่วนร่วม เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 2550 ถูกฉีกมาตรา 309 เกี่ยวกับคดีความข้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะหายไปด้วย

จากนั้นก็ต้องมาดูว่าการแก้ไขแล้วจะเป็นอย่างไร ในส่วนของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยแม้จะพ้นจากตำแหน่งไม่ได้เลือกตั้งต่อเนื่องแต่ก็ได้ความเห็นอกเห็นใจที่ถูกปฏิวัติทั้งรัฐบาลทักษิณ ทั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ส่วนคนที่ไม่ได้อะไรเลยคือ พรรคประชาธิปัตย์ มีแต่เสียกับเสีย เลือกตั้งก็ยังไม่ได้เลือกตั้งอีกนาน ขณะที่ภาคธุรกิจก็จะได้ตรงสามารถลดความหวาดระแวงเรื่องม็อบสองฝ่ายเกิดการเผชิญหน้า

ไชยยันต์ กล่าวอีกว่า ภารกิจเร่งด่วนนับจากนี้คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ได้รับความเสียหายในช่วงที่ผ่านมาให้ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติไม่ว่าจะเป็นเรื่องการท่องเที่ยว ความเชื่อมั่น หรือการแก้ไขปัญหาโครงการรับจำนำข้าวตามที่ คสช. ประกาศจะแก้ไขก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง

ปัญหาจากนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้ว หากต้องกู้ต้องแก้ก็ต้องทำ ส่วนนโยบายที่เน่าเสียของรัฐบาลที่แล้วก็เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่แล้ว หากรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาไม่ใช่รัฐบาลเพื่อไทยก็ไม่เกี่ยวข้อง แต่หากเป็นรัฐบาลเพื่อไทยกลับเข้ามาก็อาจเป็นเรื่องที่จะต้องเข้าไปแก้ไข หรือจะเป็นเรื่องที่ผู้ได้รับความเสียหายจะต้องไปฟ้องร้องจากนั้น จึงนำมาสู่เรื่องการวางโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมให้เดินหน้าต่อไปได้ ทั้งเรื่องภาษีที่ดิน ภาษีมรดก

โจทย์ใหญ่อย่างเรื่องการปฏิรูปคงมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลรับผิดชอบในแต่ละด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การปกครอง การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ไปจนถึงการเลือกตั้งโดยเร็ว แต่การทำให้การเลือกตั้งเป็นที่ยอมรับคงไม่อาจใช้เวลาสั้นๆ ได้ อย่างเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ หากจะทำให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายจะต้องเปิดให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งคงจะต้องทอดเวลานานออกไปนานกว่าสมัยการร่างรัฐธรรมนูญ 2550

อีกด้านหนึ่ง ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สิ่งที่คณะรัฐประหารต้องเร่งดำเนินการในเวลานี้ 3 ด้าน คือ 1.งานด้านความมั่นคง เพื่อดูแลเสถียรภาพความสงบ 2.การทำให้งานราชการที่ติดขัดชะงักมาหลายเดือนเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งเรียกส่วนราชการมาพูดคุยการแบ่งงานให้งานแต่ละด้านเดินหน้าไปได้ แก้ไขปัญหาที่ผ่านมาอย่างโครงการรับจำนำข้าว และ 3.กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือการร่วมมือกับเอกชนไม่ให้ตัวเลขต่ำกว่าที่เป็นอยู่

ทั้งนี้ เมื่องานทั้งสามด้านเริ่มเดินไปได้แล้วสถานการณ์เริ่มนิ่ง ต่อจากนั้นจึงเริ่มขยับมาทำงานการเมือง ทั้งการปฏิรูป การร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งสามารถไปหยิบข้อเสนอจากหลายฝ่ายขึ้นมาพิจารณาพร้อมตั้งคณะทำงานขึ้นมาดำเนินการ และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายในภาวะที่ความเห็นในสังคมแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขัดแย้งกัน แค่เสนอชื่อบุคคลขึ้นมาทำหน้าที่ก็อาจถูกแรงต้านได้

การป้องกันไม่ให้ทุกอย่างซ้ำรอย 19 ก.ย. 2549 ซึ่งนอกจากไม่อาจคลี่คลายปัญหาแล้วสุดท้ายกลายเป็นหนึ่งในชนวนความขัดแย้งปัจจุบันนั้น ปณิธาน มองว่า ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดเพราะที่มารัฐธรรมนูญที่มองว่าเกิดจากรัฐประหาร ดังนั้น ทางแก้ไขคือไม่ควรจะเร่งรีบดำเนินการแต่ต้องช่วยกันคิดหาทางออก กติกากลางที่เป็นที่ยอมรับให้ได้ทุกฝ่าย เช่น ปรับอำนาจบทบาทองค์กรอิสระ ศาล ที่ถูกมองว่าเป็นปัญหา สุดท้ายเปิดให้ลงประชามติ

“กุญแจสำคัญดอกแรกคือเสถียรภาพระยะยาว ที่จะต้องวางกฎกติกาให้ชัดเจน กุญแจดอกที่สองก็คือการมีส่วนร่วมของประชาชน ต้องเปิดพื้นที่ให้พูดจาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น”

ปณิธาน กล่าวอีกว่า สิ่งที่ตอบยากคือระยะเวลาที่คณะรัฐประหารเข้ามายึดอำนาจ เพราะหากเร็วเกินไปก็ไม่อาจแก้วิกฤตที่ล้มเหลว ซึ่งจะต้องสร้าง ต้องซ่อมกันใหม่ แค่ 3 ประเด็นเร่งด่วนก็ต้องใช้เวลาดำเนินการค่อนข้างนาน แต่หากยึดอำนาจนานเกินไปก็จะยิ่งเกิดแรงกดดันเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากสื่อที่ถูกปิด จากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร ทางออกจึงต้องประคับประคองสถานการณ์บนพื้นฐานเปิดกว้างรับฟังความเห็นหลากหลาย นอกจากนี้ยังควรเปิดเจรจาระหว่างฝ่ายการเมืองต่อเนื่องเพื่อหาทางออก

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา