posttoday

อเนกนิกรสโมสรสมมติ

20 พฤษภาคม 2557

ปัญหาเฉพาะหน้าของประเทศขณะนี้ คือการเผชิญหน้าของสองขั้ว ขั้วหนึ่งคือรัฐบาลรักษาการที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนหลัก และมี นปช.เป็นฐานมวลชน อีกขั้วหนึ่งคือ กปปส. ที่มี “มวลมหาประชาชน” เป็นฐานมวลชน

ปัญหาเฉพาะหน้าของประเทศขณะนี้ คือการเผชิญหน้าของสองขั้ว ขั้วหนึ่งคือรัฐบาลรักษาการที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนหลัก และมี นปช.เป็นฐานมวลชน อีกขั้วหนึ่งคือ กปปส. ที่มี “มวลมหาประชาชน” เป็นฐานมวลชน

ฝ่ายรัฐบาลรักษาการอ้างความ “ชอบด้วยกฎหมาย” ที่เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ขณะที่ฝ่าย กปปส.เห็นว่ารัฐบาลหมดความ “ชอบธรรม” ที่จะทำหน้าที่ต่อไป เพราะในนานาอารยประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลที่พัวพันกับการกระทำความผิดร้ายแรงย่อมต้องลาออกไปแล้ว ทั้งกรณีการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย และการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ใหญ่โตมโหฬารอย่างเรื่องจำนำข้าว

การที่รัฐบาลยังคง “ดื้อด้าน” อยู่ในตำแหน่ง ทั้งๆ ที่มีประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่จำนวนมากมายมหาศาลต่อเนื่องเกินกว่าครึ่งปีเช่นนี้ รัฐบาลย่อมไม่มีความชอบธรรมใดๆ ที่จะทำหน้าที่ต่อไป ยิ่งถูกชี้ว่าใช้อำนาจมิชอบกรณีปลด ถวิล เปลี่ยนศรี และถูกชี้มูลกรณีทุจริตจำนำข้าว ยิ่งไม่มีความชอบธรรมใดๆ ที่จะทำหน้าที่ “รักษาการ” ต่อไป โดยเฉพาะในภาวะที่ต้องรักษาการเป็นเวลานาน ทำให้เกิดปัญหามากมายแก่การบริหารประเทศด้วย

นอกจากปัญหาความชอบธรรมและความชอบด้วยกฎหมายแล้ว ปัญหาขัดแย้งใหญ่อีกเรื่องหนึ่งในขณะนี้ ก็คือปัญหาเรื่องจะเลือกตั้งก่อนปฏิรูปหรือปฏิรูปแล้วจึงเลือกตั้ง ชัดเจนว่าฝ่ายรัฐบาลต้องการเดินหน้าเลือกตั้งแล้วปฏิรูป เพราะเชื่อว่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ฝ่าย กปปส.ต้องการให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง โดยเห็นว่าระบบเลือกตั้งในปัจจุบันเป็นตัวปัญหา และไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะปฏิรูปจริง

ปัญหาใหญ่อีกประการหนึ่งคือ ทั้งสองฝ่ายต่างมีความเห็นเรื่องประเด็นกฎหมายขัดแย้งกัน ฝ่าย กปปส.ต้องการรัฐบาลใหม่เข้ามาปฏิรูปประเทศ โดยกลไกตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ และเห็นว่าผู้รักษาการนายกรัฐมนตรีไม่สามารถเสนอพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งได้ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลเห็นว่าการสรรหานายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7 กระทำไม่ได้

ปัญหาใหญ่ทั้งสามเรื่องนี้คงต้องมีวิธีการและกลไกที่จะให้คลี่คลายไปโดยสันติวิธี แม้ทั้งสองฝ่ายจะมีมวลชนจำนวนมากสนับสนุนอย่างแข็งขัน และมี “ท่าที” ที่ก้าวร้าวรุนแรง

ประเทศไทยเคยมีกลไกแก้ปัญหาในการเลือกผู้ปกครองที่น่าสนใจ คือกลไกที่เรียกว่า อเนกนิกรสโมสรสมมติ กรณีแรกที่ขอกล่าวถึงเกิดขึ้นในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อรัชกาลที่ 2 เสด็จสวรรคต โดยมิได้ทรงตั้งรัชทายาทไว้ และขณะนั้นก็ยังไม่มีกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ โดยที่มีพระโอรสสองพระองค์ที่สามารถขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ คือ เจ้าฟ้ามงกุฎ ซึ่งมี “พระชาติวุฒิ” สูงกว่า เพราะเป็น “เจ้าฟ้า” ประสูติจากพระมเหสีขณะพระราชบิดาอยู่ภายใต้พระเศวตฉัตร

แต่พระโอรสอีกพระองค์หนึ่งคือ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงมีพระ “วัยวุฒิ” และ “คุณวุฒิ” สูงกว่า ด้วยพระวัยวุฒิที่สูงกว่าจึงมีประสบการณ์ในราชการเหนือกว่ามาก ทั้งยังทรงเป็น “พ่อค้า” ที่ประสบความสำเร็จ มีทรัพย์สินเงินทองและบริษัทบริวารมาก แต่พระชาติวุฒิเป็น “พระองค์เจ้า” ประสูติจากเจ้าจอมมารดา

จึงเกิดกลไก “อเนกนิกรสโมสรสมมติ” ซึ่งแปลตามตัวว่า “การร่วมประชุมของคนหมู่มากหาข้อยุติที่ยอมรับตกลงกันเองโดยปริยาย” (อเนก = มากหลาย นิกร = หมู่ พวก สโมสร = ร่วมชุมนุมกัน สมมติ = ที่ยอมรับตกลงกันเองโดยปริยาย) พร้อมใจกันอัญเชิญกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นการเลือกที่ถูกต้องเหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะทรงพระปรีชาสามารถนำพาประเทศให้พ้นจากอริราชศัตรู และสร้างความมั่งคั่งให้แก่ประเทศ จนเมื่อประเทศไทยต้องจ่าย “ค่าชดใช้” ให้แก่ฝรั่งเศส หลังเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ได้เงินจาก “ถุงแดง” ที่รัชกาลที่ 3 ทรงเก็บสะสมไว้มาแก้ไขวิกฤตท้องพระคลังไปได้

เมื่อถึงปลายรัชกาลที่ 3 ทรงมีพระประสงค์จะให้ราชสมบัติได้แก่พระโอรส แต่ก็เห็นว่า “เจ้าฟ้าพระ” คือสมเด็จพระวชิรญาณ มีพระบารมีเป็นที่ยอมรับของบรรดาเจ้านายขุนนางมากกว่า จึงมิได้ทรงตั้งรัชทายาทไว้ และก็เกิดการใช้กลไกอเนกนิกรสโมสรสมมติอีกครั้ง อัญเชิญ “เจ้าฟ้าพระ” ให้ทรงสึกจากสมณเพศ ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 4 ในภาวะที่ทรงพร้อมทั้งพระชาติวุฒิ คุณวุฒิ และวัยวุฒิ สามารถปกครองบ้านเมืองและเริ่มวางรากฐานนำพาประเทศรอดปากเหยี่ยวปากกาและพัฒนาสู่ความทันสมัยสืบเนื่องต่อมา

ทั้งนี้ เมื่อรัชกาลที่ 3 เสด็จขึ้นครองราชย์ เจ้าฟ้ามงกุฎก็ได้เสด็จออกทรงผนวชและประทับอยู่ที่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) ทรงตั้งคณะธรรมยุตและติดต่อกับชาวต่างชาติ จนมีเสียงเล่าลือว่าทรงซ่องสุมผู้คน

“คิดการใหญ่” ความทราบถึงรัชกาลที่ 3 ได้ทรงปรึกษาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ ครั้งยังเป็นพระยาศรีพิพัฒน์ สมเด็จเจ้าพระยากราบบังคมทูลให้เชิญเสด็จมาประทับอยู่ใกล้พระเนตรพระกรรณ เพื่อมิให้เกิดความสงสัย ซึ่งต้องพระประสงค์ที่จะสถาปนาเจ้าฟ้าเป็นพระราชาคณะ แต่ติดขัดด้วยมิได้ครองวัดเป็นสมภารเจ้าวัดมาก่อน จึงโปรดให้อาราธนามาประทับ ณ วัดบวรฯ ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีนามเป็นทางการ เรียกว่าวัดใหม่บ้าง วัดบนบ้าง และยังขาดพระอธิการเจ้าวัด จึงโปรดให้จัดเรือพระที่นั่งของหลวงอย่างขบวนแห่ “พระมหาอุปราช” อัญเชิญสมเด็จเจ้าฟ้าวชิรญาณเถระ จากวัดราชาธิวาสมาครองวัดบวรฯ พระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นนัยบอกให้รู้ว่าพระที่เสด็จมาครองวัดนั้นคือ “พระบวรราชเจ้า” หรือ “วังหน้า” หรือ “องค์รัชทายาท” ของพระองค์นั่นเอง

การที่รองประธานวุฒิสภาพยายามหาทางออกของประเทศ โดยการปรึกษาหารือ “นิกร” กลุ่มต่างๆ โดยนัยก็คือ การสืบแบบแผนประเพณีอเนกนิกรสโมสรสมมติโดยปริยาย ปัญหาก็คือจะทำอย่างไรให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง เป็นผลดีต่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป

ข่าวล่าสุด

ไทยเบฟคว้า 2 รางวัลอาหารจากเวที RED TABLE AWARDS 2025