เสียงสะอื้นไห้หลังเวที
แม้จะผ่านมาแล้วถึงเจ็ดปี แต่จากการที่ได้สัมภาษณ์พูดคุย ได้ชม และสัมผัสถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง
แม้จะผ่านมาแล้วถึงเจ็ดปี แต่จากการที่ได้สัมภาษณ์พูดคุย ได้ชม และสัมผัสถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง ทำให้ยังจำละครเวทีเรื่องหนึ่งได้อย่างไม่ลืม โอกาสในครั้งนั้น ก่อตัวเป็นบางสิ่ง ขยายรูม่านตาให้ผมมองโลกเสียใหม่ เร้าให้ตัวผม ซึ่งแม้จะเคยได้ชมละครนักศึกษาผ่านตามาบ้างสมัยยังอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ทว่า แต่ละเรื่องที่ได้ดูได้เห็นในตอนนั้น ทำให้ได้ข้อสรุปบอกตัวเอง ว่า ละครเวทีไม่มีอะไรน่าสนใน เป็นแค่เรื่องตลกที่สร้างความขบขันกันเองในหมู่คนดูที่เป็นเพื่อนฝูง เนื้อหาก็เป็นเรื่องที่ไกลตัวเหลือเกิน โลกนี้ยังมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมายไม่ได้ดูก็คงไม่เป็นไรหรอก
ละครนักศึกษาทำให้ผมไม่มีความสนใจหรือขวนขวายที่จะดูการแสดงของศาสตร์ประเภทนี้อีกเลย แต่ละครเรื่องนี้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เป็นผลงานของมืออาชีพ สิ่งที่ได้เห็น ทำให้ผมต้องปรับกระบวนการคิด และโลกทัศน์ของตัวเองเสียใหม่
ละครเรื่องที่ว่า ชื่อเรื่อง “ไร้พำนัก” มีชื่อภาษาอังกฤษ ว่า Where should I laid my soul แสดงที่โรงละคร 8x8 กำกับการแสดง โดยคุณนิกร แซ่ตั้ง เจ้าของรางวัลศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดง ปี 2553 ถ่ายทอดเรื่องราวผ่าน การแสดงแบบ Physical Theatre หรือละครเวทีที่ใช้ศักยภาพ และทักษะทางด้านร่างกายถ่ายทอดตามการตีความจากเนื้อเรื่องที่ต้องการนำเสนอ
เนื้อเรื่องเล่าถึง วิญญาณของทหารญี่ปุ่นที่ต้องเดินทาง ข้ามน้ำข้ามทะเล มาตามหาเพื่อนถึงเมืองกาญจนบุรี ประเทศไทย วิญญาณผู้เป็นเพื่อนนั้นไม่ยอมกลับบ้านเพราะไม่รู้ว่าสงครามเลิกแล้ว และยอมรับความจริงไม่ได้ ที่ยอมทุ่มเทเสียสละกระทั่งชีวิตแต่กลับญี่ปุ่นกลับแพ้สงคราม ซึ่งทำให้พวกเขามีอันต้องมีชีวิตหลังความตายที่ไร้เกียรติ์ ไร้พำนัก
ผมดูละครเรื่องนี้ ถึงสองรอบ แม้จะไม่แน่ใจว่าเข้าใจในเนื้อหาและเจตนาของการนำเสนอที่สอดแทรกไว้ในเนื้อหาทั้งหมดของเรื่อง แต่ก็แน่ใจว่า สิ่งที่ได้ชมมากจากการฝึกฝนอย่างหนัก ต่างจากละครนักศึกษาอย่างสิ้นเชิง เรียกได้ว่า เป็นผลงานร่วมสมัยที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง
อีกมุมหนึ่งที่ผมเห็นจากเบื้องหลังละครเรื่องนี้ ยิ่งทำให้น่าทึ่งขึ้นไปอีก เมื่อได้เดินไปหลังเวทีแล้วได้เห็นนักแสดงชาวญี่ปุ่นซึ่งรับบทเป็นวิญญาณที่ไม่ยอมกลับบ้านเกิด ยืนสะอึกสะอื้นร้องไห้เหมือนเด็ก หันหน้าเข้าหาผนังห้องราวกับกำลังระบายอารมณ์เศร้าสุดขีด หรือฟังคำปลอบประโลมจากแผ่นผนังอันว่างเปล่านั้น
ผมรอจนนักแสดงคนนั้นหยุดร้องไห้ จึงเข้าไปถามว่า เหตุผลที่คุณร้องไห้นั้น เพราะสะเทือนใจกับบทบาทที่ได้รับจนกลั้นใจไว้ไม่อยู่หรือว่าอย่างไร เขาตอบว่า ไม่เชิงเสียทีเดียว บทบาทก็ส่วนหนึ่ง แต่ด้วยเทคนิคส่วนตัวแล้ว การคั้นอารมณ์ให้ร้องไห้นั้นต้องอาศัยพลังมหาศาล ในการนึกถึงเรื่องที่ทำให้เศร้า เมื่อเริ่มนึก ก็เหมือนกับเริ่มออกวิ่ง และจากที่ต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นๆ เพื่อให้ถึงเป้าหมาย การพุ่งตัวไปข้างหน้าจนกลั่นออกมาเป็นการร้องไห้ ที่เหมือนการวิ่งก็คือ เมื่อถึงเส้นชัยแล้ว จะหยุดเลยทันทีไม่ได้
นักแสดงผู้นั้น ระบุอีกว่า การแสดงของเขาอธิบายเป็นหลักวิทยาศาสตร์ ได้ว่า พลังงานศักย์ ซึ่งหมายถึงพลังงานกลในตัววัตถุที่สัมพันธ์กับตำแหน่งที่อยู่ภายใน มีแรงต่อต้านเมื่อมันถูกแรงภายนอกมากระทำให้ขนาดหรือปริมาตรหรือตำแหน่งของมันไม่เป็นไปอย่างอิสระ จนเปลี่ยนเป็นพลังงานจลน์ คือพลังงานที่มีอยู่ในวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ ปรากฏการณ์นี้ต่อเนื่อง เป็นแรงเหวี่ยงที่จะหยุดโดยทันทีไม่ได้ เมื่อเรื่องเศร้าทำงานตามหลักดังกล่าว ตัวเขาก็ทำได้แค่เพียงรอให้เรื่องเศร้าที่ทะลักออกมาสิ้นสุดลงไปเองตามกฎที่อยู่เหนือตัวเขา
ผมไม่เคยได้ยินใครพยายามอธิบายการร้องไห้ในทำนองนี้มาก่อนเลย แต่แน่ใจทันทีว่า นั่นเป็นเทคนิคการร้องไห้ส่วนตัวที่เจ๋งที่สุดเท่าที่เคยได้ฟังคำบอกเล่า
หลังจากนั้นผมก็ได้คุยกับคุณนิกรผู้กำกับ เขาเล่าถึงที่มาที่ไปของละครเรื่องนี้ เล่าย้อนไปถึงไอเดียของการมีโรงละครเล็กๆ เป็นของตัวเอง ลงทุน ระดมพลังสมอง ปัญญาและเรี่ยวแรงที่มี ดัดแปลงตึกแถวชั้นบนเป็นโรงละครขนาด 30 ที่นั่ง ชั้นล่างเป็นร้านขายขนมและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ นับตั้งแต่เริ่มกิจการ ก็เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า แม้การแสดงแต่ละรอบเก้าอี้นั่งชมแทบจะไม่มีที่เว้นว่าง แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงโรงละครแห่งนี้ โดยไม่ต้องดิ้นรนหารายได้ทางอื่น
ประเด็นสำคัญในการพูดคุยครั้งนั้น คือ โรงละครแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสามย่านกำลังปิดตัวลง เพราะตึกแถวทั้งหมดกำลังถูกเจ้าของที่ดิน คือ จุฬาลงกรณ์ขอเวนคืน เรื่องของทำเลทองที่ต้องมีการจัดการพื้นที่ให้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจที่สุดเป็นเรื่องที่ไม่มีเมืองใหญ่เมืองไหนหลบเลี่ยงได้ ขณะที่การได้เห็นวิถีปัจเจกอันงดงามน่ายกย่องต้องติดร่างแห ถูกรุกไล่ไปด้วยไปอย่างน่าเสียดายก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่หลบเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ดูเหมือนว่า โรงละครของพวกเขาต้องปิดฉากลง อย่าง ไร้พำนัก ไม่ผิดกับชะตากรรมของตัวละคร
นับตั้งแต่วันที่ โรงละคร 8 x 8 สามย่าน มีอันต้องปิดตัวลง ย้ายไปอยู่นอกเมือง ผมมีโอกาสได้เห็นโมเดลของสิ่งเก่าที่ถูกสิ่งใหม่มาแทนที่อย่างเยอะแยะมากมาย จนแทบคิดไป ว่า นี่เป็นวิถีปกติของโลก ที่ต้องยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขชอบธรรมในการตอบโต้หรือโต้แย้งเลย
จนกระทั่ง เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีโอกาสได้ไปเยือนประเทศญี่ปุ่น ผมต้องประหลาดใจที่ได้เห็นโรงละครเล็กๆ กลางย่านธุรกิจของเมืองใหญ่หลายเมือง แม้จะทราบในระดับหนึ่ง ว่า โครงสร้างทางสังคม การวางรากฐาน สร้างอุปนิสัยในการเสพศิลปะนั้นแตกต่างจากบ้านเรา แต่นั่นก็ไม่น่าจะนับเป็นเหตุผลทั้งหมด ที่ส่งผลให้ละครโรงเล็กสามารถหลบเลี่ยงกระแสความเปลี่ยนแปลงและยังตั้งอยู่ได้ น่าสงสัยว่าพวกเขาเอาชีวิตรอดจาก โลกยุคใหม่ได้อย่างไร
คลิกไปคลิกมาบนโลก ออนไลน์ ก็ได้พบกับคำอธิบายเรื่องนี้จากที่ คุณประดิษฐ ประสาททองจ้า เจ้าของรางวัลศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดง ปี 2547 โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊ก เล่าประสบการณ์จากที่ไปสัมผัสละครโรงเล็ก ว่า ชาวโตเกียว รักษาพื้นที่โรงละครโรงเล็กให้รอดอยู่ได้ประมาณ 30 กว่าโรง ด้วยระบบจัดการ ให้คนดูลงขันกันผลิตละคร รัฐหนุนเงินบ้างก็ในลักษณะกระจายอำนาจให้บริหารตัวเองแข่งกัน ไม่ปล่อยให้เทศกาล การจัดสัปดาห์หรือเดือนส่งเสริมการละครมีอำนาจผูกขาดการอยู่รอด และเมื่อชาวชุมชนเห็นประโยชน์จากโรงละครที่ตอบสนองความต้องการเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนทางความคิดที่แม้จะแตกต่างกันก็อยู่กันได้ ก็ต้องหามาตรการมาปกป้องตัวเอง
คุณประดิษฐ ระบุไว้ว่า “มิตรภาพ ความผูกพัน ของศิลปิน การละคร และแฟนละคร ที่กลมเกลียวเหนียวแน่น กันยาวนาน ราวเพื่อนเก่าหรือญาติมิตรในครอบครัว นี่เองกระมัง เหตุผลที่คนยังไม่เลิกมาดูละครที่โรงฯ ถึงแม้ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ออนไลน์ หรือหนังแผ่น จะมีให้ดูสะดวกสบายอยู่กับบ้าน เพราะการออกจากบ้านมาดูละครสดๆ สังคมเพื่อนฝูง การปะทะสังสรรค์ ช่วยทำให้รู้สึกตัวเสมอ ว่า มิได้อยู่แต่ผู้เดียวในโลกร้าง”
และเมื่อหันมามองมาตรการส่งเสริมศิลปะแขนงต่างๆ ในบ้านเรา ที่เพิกเฉยต่อพื้นที่ทางปัจเจก ด้วยนโยบายที่เข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน ก็ต้องถอนหายใจอีกหลายเฮือก โดยเฉพาะละครโรงเล็กที่เต็มไปด้วยมุมมองอันน่าเศร้าในปริมาณที่มากพอสำหรับให้คนละครหรือนักแสดงใช้เป็นเครื่องช่วยกลั่นน้ำตาให้กับชะตากรรมของตัวเอง ในโลกที่พวกเขารับบทต้องสะอื้นไห้ครั้งแล้วครั้งเล่า


