เสียงจากเหล่าทหาร วันที่เสียงปืนกึกก้อง
แม้ทหารจะถูกผู้ชุมนุมตราหน้าว่าฆ่าประชาชน แต่ความรู้สึกลึกๆของบรรดาทหารที่เข้ามาประจำการตลอด 1-2 เดือนที่ผ่านมา คงไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไปในสังคมขณะนี้ ที่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและกำลังรอวันที่จะจบลง
แม้ทหารจะถูกผู้ชุมนุมตราหน้าว่าฆ่าประชาชน แต่ความรู้สึกลึกๆของบรรดาทหารที่เข้ามาประจำการตลอด 1-2 เดือนที่ผ่านมา คงไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไปในสังคมขณะนี้ ที่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและกำลังรอวันที่จะจบลง
โดย...พรสวรรค์ นันทะ/เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง/ฉัตรชัย ธนจินดาเลิศ
หน้าที่ของทหารในสถานการณ์กึ่งสงครามการเมืองเช่นนี้ถือว่าลำบากอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ต้องปะทะกับคนไทยด้วยกันแล้ว ทหารยังต้องเจอกับ “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ที่ใส่ชุดดำอำพรางตัวเข้ามากับผู้ชุมนุมและใช้อาวุธสงครามยิงใส่เจ้าหน้าที่
แต่กระแสที่เกิดขึ้นจากฝั่งของผู้ชุมนุมที่มักจะเอ่ยคำว่า “ทหารฆ่าประชาชน”
ประโยคเหล่านี้บีบคั้นความรู้สึกของเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฎิบัติหน้าที่มาตลอดระยะเวลา 1-2 เดือน ....
นายทหารผู้บังคับหมวด ม.พัน2 กรมทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ประจำการที่บังเกอร์ สถานีรถไฟฟ้าสีลม เล่าถึงความรู้สึกที่ไม่เคยบอกกับใครมาก่อน นอกจากปรับทุกข์กับเพื่อนทหารด้วยกันว่า
“ในการปฎิบัติหน้าที่ของผม แน่นอนต้องยึดวินัย และคำสั่งผู้บังคับบัญชาเป็นสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่ผมไม่มีความรู้สึก เพราะเวลาเกิดเหตุ ปะทะ หรือมีคนเจ็บ เราก็รู้สึกเสียใจเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ทหารตั้งใจทำร้ายประชาชน เพราะตั้งแต่เริ่มปฎิบัติหน้าที่ เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา กองร้อยนี้ยังไม่เคยปะทะกับผู้ชุมนุม หรือแม้กระทั่งยิงปืนสักนัดก็ยังไม่เคย
...ผมอยากทำตัวให้มีประโยชน์กว่าการมายืนเฝ้าถนนโล่งๆ อย่างนี้ แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อฝ่ายความขัดแย้งเองก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรให้ปัญหายุติจริงๆ จะทำอะไรก็ควรทำ จะเจรจากันก็ควรเจรจา ทำอะไรให้ปัญหาจบได้ ก็ควรรีบทำ เพราะการให้ทหารมาถูกตราหน้า หรือมาสบตาประชาชนด้วยความเคียดแค้น มันไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเราทั้งหมด ไม่ใช่ศัตรูกัน
พวกเราทุกคนที่มาปฎิบัติหน้าที่ ไม่มีความต้องการที่จะเล็งปลายประบอกปืน หรือแม้กระทั่งเล็งประชาชน เป็นเป้าหมายในการทำลายล้าง เพราะเราทุกคน ก็มีครอบครัว มีคนข้างหลังที่คอยห่วง ไม่ต่างจากการกลุ่มผู้ชุมนุมเช่นกัน ที่สำคัญทุกคนมีความกลัว แต่ก็ต้องทำหน้าที่ เราไม่อยากยิง แต่ถ้าถึงที่สุด เจอเหตุการณ์ที่มีผู้คนมาถืออาวุธร้ายแรงก็จำเป็นต้องยิง”
....การมาอยู่ที่นี่เราไม่ได้รับคำสั่งมาฆ่าประชาชน แต่มาเพื่อระงับเหตุ ที่มายังไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายไหนในบริเวณนี้ ตั้งจุดซุ่มยิง เพราะที่นี่ไม่ได้มีผู้ก่อการร้าย จากการตรวจตราของเรา ไม่พบจุดซุ่มยิง หรือพบอาวุธร้ายแรงในบริเวณนี้ เพราะฉะนั้นหนทางใดที่ทำให้เรื่องจบได้ เราก็อยากให้รีบทำ เพราะถ้าเรื่องไม่จบ เราก็ไม่ได้กลับบ้าน เพราะคำสั่งล่าสุด ถ้าผู้ชุมนุมไม่เลิก เราก็ไม่ได้เลิกเช่นกัน” นายทหารนายนี้เปิดใจ
ด้านนายทหารอีกนายหนึ่ง ปฎิบัติหน้าที่บริเวณใกล้เคียงกัน สังกัดอัศวิน 9 ซึ่งเป็นทหารเกณฑ์ ปฎิบัติหน้าที่มาไม่นาน เล่าด้วยแววตารันทดว่า “อาวุธที่ผมมีอยู่ในมือ ยังไม่เคยถูกใช้เลยสักครั้ง กระสุนที่ใช้หรือที่ผมพก ก็มีแต่กระสุนซ้อม” สิ้นเสียงนายทหารผู้นี้ได้เปิดกระสุนให้ผู้สื่อข่าวดู
เขาเล่าต่อว่า “ถึงผมจะไม่เคยออกสนามรบ แต่ผมก็รู้ว่า การยิงใส่คนไทยด้วยกันมันเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ แต่ถ้ามีเหตุร้ายแรง มันก็อาจจำเป็นต้องทำ แต่ที่ผ่านมาผมยืนยันได้ว่า 10 กว่าวันที่ผมปฎิบัติงาน ยังไม่เคยเล็งปลายกระบอกปืนใส่ประชาชนเลย
....ทุกครั้งที่มีคนเอ่ย หรือตะโกนด่าว่าทหารฆ่าประชาชน หรือบอกว่า ทหารเอาปืนของประชาชนมายิงใส่ประชาชนทำไม ผมก็หดหู่ใจทุกครั้ง และไม่รู้จะพูดว่ายังไง เพราะภารกิจและคำสั่งที่เรารับมา ก็ไม่เคยบอกให้พวกผมยิงประชาชน หรือทำร้ายประชาชน ที่สุดแล้วผู้ชุมนุมมีครอบครัว ผมก็มีครอบครัวและคิดถึงบ้าน ทำไมผมจะไม่เจ็บใจว่าผมถูกตราหน้าว่าฆ่าประชาชนทั้งที่ผมไม่ได้ทำ แต่ในสถานการณ์อย่างนี้ ผมเป็นทหาร ผมใส่เครื่องแบบ ผมจะไปบอกใครได้ แล้วใครจะเชื่อผมว่าผมไม่ได้ทำ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดตอนนี้ ก็คือปฎิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด ตามภารกิจของตัวเอง ได้แต่หวังว่า จากวันนี้ไป คนที่เคยตราหน้าทหารจะเข้าใจว่าพวกผมไม่ได้ฆ่าประชาชน”
ด้าน นายทหารจากม.พัน3 รายหนึ่งที่ประจำแยกศาลาแดง บอกว่า ได้เข้ามาประจำการ ตั้งแต่มีม็อบเสื้อแดงได้ 2 เดือนแล้ว ตอนแรกอยู่ที่ถนนราชดำเนิน ใกล้กับวัดบวรนิเวศ และหลังนั้นก็เคลื่อนย้ายมาที่ราชประสงค์ ผู้บังคับบัญชาสั่งให้มาอยู่ที่แยกศาลาแดง หน้าที่หลักคือกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมขยายขอบเขตการชุมนุมมาถึงถนนสีลม ซึ่งทุกค่ำคืนหลังจากแผนปรองดองแห่งชาติของนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีล้มไป กลุ่มผู้ชุมนุมก็มีการยิงปืนขึ้นฟ้า เพื่อหยั่งเชิงว่าทหารมีกำลังเท่าไหร่ ทหารก็จะมีการยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อตอบโต้เช่นกัน เพื่อข่มขวัญกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่มีอาวุธ ซึ่งอาศัยกับผู้ชุมนุม
เหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้น ล่าสุด เมื่อคืนวันที่ 16 พ.ค. ที่โรงแรมดุสิตธานี ถือว่าจุดนี้เป็นครั้งแรกที่มีการใช้จรวดอาร์พีจียิงเข้าที่โรงแรมดุสิตธานี แสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีอาวุธหนักจำนวนมาก และพร้อมที่จะยิงเพื่อต่อสู้กับทหารได้ตลอดเวลา ทางทหารก็พยามหลบอยู่ที่กำบังตลอด
การใช้อาวุธอาร์พีจีทำให้ทหารต้องระวังมาก เพราะคุณสมบัติสามารถยิงรถหุ้มเกราะทั้งกระสุนเจาะเกราะเหล็กจนเสียหายได้ อีกส่วนยิงแล้วระเบิดภายนอกจะทำให้ล้อยางเสียหายจนไม่สามารถวิ่งได้ ทำให้ทหารทำอะไรไม่ได้สะดวก
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทหารคงไม่สามารถปฏิบัติการได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากทราบว่าภายในกลุ่มผู้ชุมนุมเองก็มีผู้หญิง เด็ก และผู้ตั้งใจชุมนุมจริงๆ ถ้าใช้กำลังสลายจะเกิดความสูญเสียมากกว่านี้ ทำให้ผู้ก่อการร้ายได้ใจ ใช้อาวุธโจมตีทหารได้อย่างต่อเนื่อง หรือภายในสวนลุมพินี ก็ยังมีผู้ก่อการร้ายซุ่มโจมตีอยู่จำนวนมาก” ทหารรายนี้กล่าว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่มาด้วยความสงบถือว่าอยู่ในจุดไม่ปลอดภัย เพราะมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายพร้อมจะสร้างสถานการณ์ตลอดเวลา และจากประสบการณ์ที่เป็นทหารมา 30 ปี มองว่า การทำหน้าที่ครั้งนี้แตกต่างจากสงคราม เพราะการรบกับข้าศึกเห็นกันซึ่งหน้านั้นไม่กลัว แต่วันนี้ฝั่งตรงข้ามเป็นคนไทยด้วยกันเกิดอะไรขึ้นมาก็เลือดเนื้อคนไทย จึงหลีกเลี่ยงการปะทะให้มากที่สุด
ส่วนทหารรายหนึ่งที่ประจำแยกราชปรารภ เล่าอีกอารมณ์หนึ่งว่า เมื่อกลางดึกวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา ต้องเผชิญหน้ากับความตาย โดยทหารได้ประทะกับกองกำลังชุดดำที่ไม่ทราบฝ่ายตลอดทั้งคืน ซึ่งทหารยืนยันว่าคนชุดดำไม่ใช่กลุ่มนปช. เพราะการสู้และอาวุธไม่น่าจะใช่เป็นฝีมือของม็อบทั่วไปที่เป็นประชาชนที่ไม่ได้รับการฝึกอาวุธมา
“นักรบชุดดำได้พยายามเดินมาตามแนวรถไฟมะกะสัน เพื่อตีแนวทหารให้แตก เพื่อที่จะได้ส่งกำลังบำรุงเข้าไปที่กลุ่มนปช.ที่สี่แยกราชประสงค์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และการสู้รบดังกล่าวก็ไม่ทราบผู้บาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิต”ทหารคนนี้บอก
เหล่านี้คือความในใจของเหล่าทหารที่ต้องจากบ้านมาปฏิบัติหน้าที่ ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและซากศพของคนไทยด้วยกัน....


