เทศมองไทย โครงสร้างพลังงาน
เรามักคุ้นเคยกับการจัดอันดับประเทศของ WEF (World Economic Forum หรือสมัชชาเศรษฐศาสตร์โลก) แต่องค์กรนี้ยังมีรายงานที่คนไม่ค่อยรู้จักคือ การจัดอันดับโครงสร้างทางพลังงาน ที่เรียกว่า EAPI (Energy Architecture Performance Index)
เรามักคุ้นเคยกับการจัดอันดับประเทศของ WEF (World Economic Forum หรือสมัชชาเศรษฐศาสตร์โลก) แต่องค์กรนี้ยังมีรายงานที่คนไม่ค่อยรู้จักคือ การจัดอันดับโครงสร้างทางพลังงาน ที่เรียกว่า EAPI (Energy Architecture Performance Index)
เพื่อให้ประเทศต่างๆ พัฒนาโครงสร้างให้มีพลังงานใช้อย่างมั่นคง ในราคาที่ “ไม่แพง” (Affordable) โดยยังรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน ได้มีการพัฒนาตัวชี้วัด 3 ด้าน คือ
1.การเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนา โครงสร้างพลังงานสามารถยกระดับของประสิทธิภาพในระบบเศรษฐกิจและช่วยสร้างรายได้ สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
2.ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม การผลิต แปรรูป และบริโภคพลังงานล้วนมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและต่อภาวะโลกร้อน
3.การเข้าถึงและความมั่นคง มีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนและราคาพลังงานอย่างไร? ภาคส่วนต่างๆ ของประชากรได้ใช้พลังงานทั่วถึงแค่ไหน?
พลังงานเป็นเรื่องซับซ้อน การพัฒนาในด้านหนึ่งอาจมีผลกระทบต่อด้านอื่น การขับเคลื่อนไปสู่โครงสร้างพลังงานที่สมดุลและมีศักยภาพสูงขึ้นจึงเป็นความท้าทายยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับประเทศรายได้น้อยซึ่งพลังงานเป็นค่าใช้จ่ายที่มีสัดส่วนสูง
โครงสร้างพลังงานที่ดีไม่มีสูตรตายตัว แต่ละประเทศต้องบริหารจัดการทรัพยากรและข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป ทั้งปัจจัยทางกายภาพ เช่น ปริมาณสำรองปิโตรเลียม ความสมบูรณ์ของน้ำ ที่ดิน สภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ
พลวัตทางสังคมไม่ว่าการเมือง อุตสาหกรรม หรือภาคประชาสังคม ล้วนมีผลต่อการพัฒนาโครงสร้างพลังงาน
การเปรียบเทียบตัวชี้วัดกับประเทศอื่นๆ จะเป็นประโยชน์ในการปฏิรูปพลังงาน เพราะช่วยให้เห็นมุมมองใหม่ๆ เห็นภาพรวม เรียนรู้จากประเทศอื่น และวัดความคืบหน้าได้
ตาม EAPI ปี 2014 ประเทศนอร์เวย์อยู่อันดับที่ 1 ด้วยคะแนนสูงสุด 0.75 ไทยเป็นที่ 55 ด้วยคะแนน 0.53 ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 0.52 ของ 124 ประเทศ
แต่ในประชาคมอาเซียนประเทศไทยอยู่อันดับที่ 1 ตามด้วยสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม บรูไน และกัมพูชา ซึ่งเป็นอันดับเกือบต่ำที่สุดในโลกด้วย (ไม่มีข้อมูลพม่า) ต่อไปนี้เป็นการวิเคราะห์โครงสร้างพลังงานของประเทศในอาเซียน :
mm ด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ซึ่งมีตัวชี้วัด 3 กลุ่มคือ ประสิทธิภาพ ราคา และมูลค่าของการนำเข้าส่งออกพลังงานต่อ GDP สิงคโปร์ได้คะแนนสูงสุดที่ 0.58 มาเลเซียต่ำสุด 0.26 ไทย 0.49
สำหรับตัวชี้วัดประสิทธิภาพ หรือ Energy Intensity คือ GDP ต่อหน่วยพลังงาน สิงคโปร์สูงกว่ากับมาเลเซียและไทยมาก
สิงคโปร์นำเข้าน้ำมันดิบสูงมากถึง 45% ของ GDP เพราะมีอุตสาหกรรมส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป แม้มาเลเซียจะเป็นผู้ส่งออกปิโตรเลียมที่สำคัญ แต่ก็นำเข้าพลังงาน 9% ของ GDP เทียบกับไทย 14%
WEF วัดราคาหรือ “ความไม่แพง” ของพลังงานใน 2 มิติ คือ คือค่าไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมและการกำหนดราคาค้าปลีกน้ำมัน
ค่าไฟฟ้าในแต่ละประเทศจะแตกต่างกันด้วยสาเหตุหลากหลาย ซึ่งของไทยต่ำกว่าสิงคโปร์ (มาเลเซียไม่เปิดเผยข้อมูล) แต่น้ำมันเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาเท่าๆ กันตามตลาดโลก ตัวชี้วัดจึงเป็นการกำหนดราคาที่สะท้อนกลไกตลาด
m สิงคโปร์ได้คะแนนสูง มาเลเซียคะแนนต่ำเพราะมีการอุดหนุนค่าน้ำมันมาก เกิดการใช้ที่สิ้นเปลือง เปลืองงบประมาณเพราะช่วยคนรวยมากกว่าคนจน และยังลดแรงจูงใจที่จะพัฒนาทั้งเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน ตลอดจนพลังงานทดแทน
m ราคาของพลังงานควรสะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริงของพลังงานนั้นๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและในเศรษฐกิจโดยรวม
m บางประเทศเก็บภาษีน้ำมันสูงเพื่อสร้างซ่อมถนน บางทีสูงมากเพื่อชดเชยความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ แต่ภาษีไม่ควรสูงเกินไปเพราะเป็นภาระต่อผู้บริโภคและอาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า การใช้พลังงานเติบโตไปกับ GDP แต่ต้นทุนพลังงานที่ต่ำช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย
mm ด้านความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีตัวชี้วัด 2 กลุ่ม คือ สัดส่วนของพลังงานทดแทน และการปล่อยมลพิษทางอากาศของภาคผลิตพลังงานและการใช้น้ำมัน คะแนนสูงสุดในอาเซียน คือ ฟิลิปปินส์ 0.51 บรูไนต่ำสุด 0.21 ไทย 0.39
ฟิลิปปินส์มีสัดส่วนพลังงานทดแทนสูงถึง 40% เพราะใช้ชีวมวลแบบดั้งเดิมมาก แต่อาจรวมการใช้ฟืนที่เป็นการตัดไม้ทำลายก็ได้ ไทยมีพลังงานหมุนเวียน 19% บรูไน 0% เพราะผลิตปิโตรเลียมมากและส่งออกกว่า 70% ของ GDP มีการปล่อยมลพิษจากการผลิตมาก
mm ด้านการเข้าถึงและความมั่นคง คะแนนสูงสุดในอาเซียน คือ มาเลเซีย 0.83 กัมพูชาต่ำสุด 0.28 ไทย 0.73 มีตัวชี้วัด 3 กลุ่ม คือ สัดส่วนของการนำเข้า (ซึ่งมาเลเซียคะแนนสูงเพราะส่งออกสุทธิ) ความหลากหลายของพลังงานพื้นฐาน และการเข้าถึงพลังงานซึ่งเน้นเรื่องไฟฟ้าและการประกอบอาหาร
ในมาเลเซียและไทยประชากรเข้าถึงไฟฟ้าเกือบ 100% คุณภาพไฟฟ้าใช้ได้ ในขณะที่คนกัมพูชาเข้าถึงไฟฟ้าเพียง 31% และคุณภาพไฟฟ้ายังต่ำ
การเข้าถึงไฟฟ้ามักเป็นความสะดวกสบาย ในขณะที่การประกอบอาหารเป็นตัวชี้วัดระดับพื้นฐาน การใช้ “เชื้อเพลิงแข็ง” อย่างฟืน ถ่านหรือมูลสัตว์ที่เผาในบ้านเป็นอันตรายต่อสุขภาพ คนมาเลเซียเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่สูงกว่าเพราะสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงแข็งประกอบอาหารต่ำเพียง 5% ในขณะที่กัมพูชาสูงเกือบ 90% ไทย 26%
แม้ไทยจะไม่ได้คะแนนสูงสุดในด้านใด แต่ก็มีคะแนนรวมที่สูงสุด หากแต่กระแสสังคมบอกว่าสถานการณ์พลังงานไทยเลวร้ายเหลือเกิน ล้าหลังกระทั่งกัมพูชาทั้งที่เขายังไม่มีการผลิตปิโตรเลียมเลย และมาเลเซียซึ่งถูกยกให้เป็นต้นแบบกลับกลายเป็นอันดับที่ 5
สรุปได้ว่า พลังงานเป็นเรื่องซับซ้อน ต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่กว้างขวาง วางแนวปฏิรูปด้วยสติ เหตุผล และข้อเท็จจริง


