สัญญาณจาก 'ดวงตา'
มีคำเปรียบเปรยว่า “ดวงตา” เปรียบเสมือนหน้าต่างของหัวใจ นั่นเพราะหลายครั้ง
โดย...วีณา ยศวังใจ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
มีคำเปรียบเปรยว่า “ดวงตา” เปรียบเสมือนหน้าต่างของหัวใจ นั่นเพราะหลายครั้งดวงตาของเราสื่ออารมณ์ สะท้อนถึงความรู้สึกภายในจิตใจได้มากกว่าคำพูด แต่นอกจากดวงตาจะสื่อสารแทนใจได้แล้ว ดวงตายังส่งสัญญาณเตือนถึงโรคภัยที่ซ่อนเร้นในร่างกายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แอนดรูว์ ไอแวกช์ (Andrew Iwach) รองศาสตราจารย์คลินิกด้านจักษุวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ดวงตาเป็นอวัยวะเดียวในร่างกายที่เรามองเห็นเส้นประสาท เส้นโลหิตแดง และเส้นโลหิตดำได้โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือส่องกล้องดู ซึ่งความผิดปกติบางอย่างที่เราสังเกตเห็นได้ในดวงตา มีโอกาสเชื่อมโยงกับกระบวนการก่อโรคในส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้เช่นกัน
ตัวอย่างของโรคที่มีการสำแดงอาการให้เห็นในดวงตา เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดโป่งพอง โรคเอดส์ โรคมะเร็ง และโรคทางพันธุกรรมบางชนิด
รูธ ดี. วิลเลียมส์ (Ruth D. Williams) จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคต้อหินจากวิทยาลัยจักษุวิทยาแห่งอเมริกา (American Academy of Ophthalmology) แนะนำว่า ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพดวงตาอย่างละเอียด โดยเฉพาะคนที่มีประวัติครอบครัวป่วยเป็นโรคตาหรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตามาก่อนควรพบแพทย์แต่เนิ่นๆ ส่วนคนที่มีอาการเจ็บตาหรือดวงตาเริ่มมีปัญหา ให้รีบพบแพทย์ทันที เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรา
สัญญาณของโรคบางชนิดที่แสดงออกทางดวงตา อาจต้องอาศัยการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดโดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็มีหลายลักษณะอาการทางดวงตาที่คนทั่วไปสามารถสังเกตได้เอง เช่นอาการดังต่อไปนี้
1.เลือดออกใต้เยื่อบุตา (Bloody Eyes) เราจะเห็นตาขาวเป็นสีแดงก่ำเนื่องจากเส้นเลือดฝอยที่อยู่ใต้เยื่อบุตาขาวแตก ซึ่งอาการเลือดออกใต้เยื่อบุตาอาจเป็นสัญญาณของโรคความดันสูงชนิดรุนแรงและโรคเกล็ดเลือดผิดปกติได้
2.ตาโปน (Bulging Eyes) อาจเป็นลักษณะปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรืออาจเป็นอาการที่บ่งบอกว่าผู้ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับไทรอยด์ เนื่องจากระดับฮอร์โมนไทรอยด์ที่ผิดปกติจะทำให้เนื้อเยื่อรอบดวงตาปูดโปนหรือบวมผิดปกติ
3.ตา 2 สี (Different Colored Eyes) คือ ภาวะที่ม่านตามีสีต่างกัน (Heterochromia Iridis) ทำให้สีของดวงตาทั้งสองข้างไม่เหมือนกัน ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นลักษณะทางพันธุกรรม แต่ในบางกรณีอาจมีสาเหตุมาจากมีเลือดออกหรือมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงตา, โรคต้อหิน, ดวงตาอักเสบ, กลุ่มอาการวอร์เดนเบิร์ก (Waardenburg syndrome) ที่มีความผิดปกติของเม็ดสีมาแต่กำเนิด และโรคท้าวแสนปม
4.เปลือกตาหย่อน (Droopy Eyelids หรือ Ptosis) โดยทั่วไปเป็นสัญญาณของอายุที่มากขึ้น แต่ในบางกรณีการหย่อนของเปลือกตานี้เป็นอาการอย่างหนึ่งของโรคเนื้องอกในสมอง และโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงไมแอสทีเนีย กราวิส (Myasthenia Gravis)
5.รูม่านตาผิดปกติ (Pupil Abnormalities) โดยปกติแล้วรูม่านตาทั้งสองข้างของเราจะมีขนาดเท่ากัน มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อแสงอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่หากรูม่านตาข้างใดข้างหนึ่งใหญ่กว่าอีกข้าง หรือหดตัวได้ไม่ดีเท่าอีกข้างหนึ่ง นั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมองอักเสบ, เนื้องอกในสมองหรือเนื้องอกทับเส้นประสาทตา, หลอดเลือดในสมองโป่งพอง, โรคซิฟิลิส และโรคปลอกประสาทอักเสบ
6.ฝ้าวงแหวนที่กระจกตา (Rings on the Cornea) อาจเป็นอาการหนึ่งของภาวะทองแดงคั่งในร่างกาย หรือโรควิลสัน (Wilson’s Disease) ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่งที่พบไม่บ่อย ผู้ป่วยจะมีความผิดปกติในการกำจัดทองแดงออกจากร่างกาย ทำให้มีทองแดงสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงในสมอง, ตับ และในกระจกตา ทำให้เห็นเป็นลักษณะคล้ายวงแหวนสนิมรอบรูม่านตา (KayserFleischer Rings) แม้ไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา แต่ความรุนแรงของโรคนี้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
7.เปลือกตาหนา (Thickened Eyelid) การที่เปลือกตาหนาหรือสูญเสียรูปทรงไปจากเดิม อาจเป็นสัญญาณของโรคท้าวแสนปม แต่กรณีนี้จะพบได้น้อยมากๆ
8.ตาเหลือง (Yellow Eyes) การที่เยื่อบุตาขาวมีสีเหลืองอาจเป็นอาการของโรคตับอักเสบและโรคตับแข็ง เนื่องจากมีการสะสมของสารบิลิรูบิน (Bilirubin, เกิดจากการย่อยสลายเฮโมโกลบิน) ในร่างกายมากเกินไป ทำให้มีภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง หรือที่เรียกว่า ดีซ่าน
หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติเหล่านี้ในดวงตาของเรา อย่าได้นิ่งนอนใจ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด หากนั่นหมายถึงสัญญาณของโรคร้ายจริง จะได้วางแผนการรักษาก่อนที่จะสายเกินไป


