posttoday

"จำนำข้าวทุกเมล็ด"เตือนไม่ฟัง พากันพังทั้งประเทศ

21 เมษายน 2557

ใกล้เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการชี้ขาดคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเข้ามาทุกที

โดย...จตุพล สันตะกิจ

ใกล้เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการชี้ขาดคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเข้ามาทุกที

หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมชี้มูล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ฐานปล่อยปละละเลยให้การทุจริตในการระบายข้าว “จีทูเจี๊ยะ” ในเดือน พ.ค.นี้

หลักฐานสำคัญที่มัดตัว ยิ่งลักษณ์ และพวก หนีไม่พ้น “เช็ค” เงินค่าข้าวนับพันใบที่สั่งจ่ายจากพ่อค้าข้าวในประเทศ ที่เข้ามาร่วมวงซื้อข้าวภายใต้สัญญาซื้อขายจีทูจีระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐวิสาหกิจจีนปริมาณ 4.8 ล้านตัน ผ่านพ่อค้าข้าวในเครือข่าย แต่มีการส่งออกจริงเพียง 3.75 แสนตัน

อีกทั้ง ป.ป.ช.ยังมีไม้เด็ดสำหรับพิพากษา ยิ่งลักษณ์ ในฐานะที่กุมบังเหียนโครงการรับจำนำข้าวเป็นการเฉพาะ นั่นก็คือการจงใจสร้างนโยบายผูกขาดตลาดข้าว เอื้อประโยชน์พวกพ้อง โดยอ้างความกินดีอยู่ดีของชาวนาเป็นเกราะกำบัง แม้ว่า ป.ป.ช.จะร้องเตือนถึงความเสียหายที่เกิดจากโครงการนี้ ตั้งแต่ก่อนเริ่มโครงการในเดือน ต.ค. 2554

“วัตถุประสงค์ของโครงการรับจำนำข้าว เพื่อยกระดับรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ให้ชาวนา...ดึงอุปทานข้าวมาอยู่ในการควบคุม ทำให้สามารถรักษาเสถียรภาพราคาข้าวได้ และยกระดับราคาข้าวไทยให้สูงขึ้นทั้งระบบ...” หนังสือ รู้ลึก รู้จริง จำนำข้าว ที่จัดทำโดย กขช. และสั่งตีพิมพ์เมื่อปลายปี 2555 ระบุ

หากจะย้อนเล่าความเดิม จะพบว่าไม่ทันที่โครงการรับจำนำข้าวเปลือกเข้าสู่ปีที่ 3 ดีนัก บาดแผลจากโครงการประชานิยมสุดโต่ง รับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ดในราคา 1.5 หมื่นบาทต่อตัน ก็ปริแตก รัฐบาลหมุนเงินขายข้าวมาจ่ายหนี้ค่าข้าวให้ชาวนาไม่ทัน กระทั่งฤดูกาลผลิตนาปี ปี 2556/2557 รัฐบาลยังค้างหนี้ชาวนาอยู่ 9.5 หมื่นล้านบาท จนต้องเทกระจาดขายข้าว 2 ล้านตัน ตั้งแต่เดือนม.ค.มี.ค. 2557 เป็นต้นมา ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกในประเทศทรุดฮวบลงลดเหลือ 5,000-6,000 บาทต่อตันเท่านั้น

“ตอนนี้ข้าวเปลือกนาปรังลุ่มน้ำนเรศวร หรือแถบพิษณุโลก พิจิตร และนครสวรรค์บางอำเภอ ตลอดจนข้าวนาปรังแถบนครนายก ฉะเชิงเทรา และปริมณฑล เก็บเกี่ยวไปหมดแล้ว ราคาข้าวที่ขายได้อยู่ที่ 5,2006,500 บาทต่อตัน แต่หลังจากนี้ในเดือน มิ.ย.ก.ค. ข้าวนาปรังในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น ชัยนาท สระบุรี อ่างทอง และสุพรรณบุรี ออกสู่ตลาด 34 ล้านตัน คาดว่าราคาข้าวเปลือกเกี่ยวสดน่าจะอยู่ที่ระดับ 5,0005,500 บาทต่อตัน” นิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทยประเมิน

จึงเท่ากับว่าชาวนาที่ปลูกข้าวนาปรังในกรณีที่เช่าที่นา มีค่าใช้จ่ายสูบน้ำเข้านา และใช้แรงงานของตัวเอง จะมีต้นทุนปลูกข้าวอยู่ที่ 6,000 บาทต่อตัน หรือขาดทุน 1,000 บาทต่อตัน ส่วนชาวนาที่ไม่มีต้นทุนเพิ่มจากค่าเช่าที่นาน่าจะยังพออยู่ได้แบบถูๆ ไถๆ จากอาชีพนี้

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาผลกระทบทางการคลังของประเทศ หลังรัฐบาลเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวเต็มสูบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่รวมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2556/2557 ปรากฏว่ารัฐบาลได้กู้มาหมุนเวียนในโครงการเกือบ 7 แสนล้านบาท แต่ล่าสุดขายข้าวได้เงินเพียง 1.8 แสนล้านบาท แถมเป็นการขายข้าวในราคาขาดทุนบักโกรกตันละไม่เกิน 1.3 หมื่นบาท จากราคาต้นทุน 2.32.4 หมื่นบาทต่อตัน

เรียกว่างานนี้ขาดทุนยับ และทันทีที่มีการปิดบัญชีโครงการเมื่อใด คงได้เห็นตัวเลขขาดทุนไม่ต่ำกว่า 45 แสนล้านบาทเป็นแน่

แต่กระนั้น กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ยังคงยืนกรานว่าความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกไม่ได้สูงมากอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ แต่คำให้สัมภาษณ์ล่าสุดของกิตติรัตน์เมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา ต้องถือว่ากำกวมและปกปิดตัวเลขขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวจนนาทีสุดท้าย แม้จะเข้าสู่ช่วงบั้นปลายของการดำรงตำแหน่ง รมว.ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ตาม

“ปริมาณข้าวที่อยู่ในสต๊อกขณะนี้มีจำนวน 1516 ล้านตัน โดยเป็นข้าวที่รอการส่งมอบตามสัญญา 5 ล้านตัน อยู่ระหว่างการทำสัญญาส่งมอบ 3 ล้านตัน จึงเหลือข้าวในสต๊อกประมาณ 7 ล้านตัน ซึ่งไม่ได้เป็นภาระมากมาย คาดว่าใช้งบดูแลไม่เกิน 1 แสนล้านบาท ถือว่าไม่มาก” กิตติรัตน์ บอก

แต่ในมุมมองนักวิชาการหลายกลุ่ม เช่น นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) คาดว่าผลการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวจะไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาท เช่นเดียวกับ สมพร อิศวิลานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านข้าว สถาบันคลังสมองแห่งชาติ ที่ประเมินว่าการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวจะสูงถึง 4-5 แสนล้านบาท เมื่อมีการปิดบัญชีโครงการ

“ลองคำนวณง่ายๆ รัฐบาลใช้เงินกู้ในโครงการนี้ 6.88 แสนล้านบาท แต่ขายข้าวได้เงินมาเพียง 1.8 แสนล้านบาท ก็คิดเอาว่าตัวเลขขาดทุนจะเป็นเท่าไหร่ ผมว่าอย่างต่ำก็ 4 แสนล้านบาท” สมพร ระบุ

นอกจากนี้ สมพร ระบุว่า จากรายงานล่าสุดของกระทรวงเกษตรสหรัฐ (ยูเอสดีเอ) ระบุว่า รัฐบาลไทยมีข้าวในสต๊อกประมาณ 20 ล้านตัน แม้ว่าจะมีการเร่งระบายออกมาไม่ต่ำกว่า 2 ล้านตัน ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และเป็นสาเหตุทำให้ราคาข้าวเปลือกตกลงมามากก็ตาม แต่ปริมาณข้าวสารในสต๊อกที่มีปริมาณที่สูงมาก ยังคงจะกดดันราคาข้าวเปลือกในไทยและข้าวสารในตลาดโลกให้อยู่ที่ระดับราคาไม่เกิน 8,500 บาทต่อตันอีก 2-3 ปีนับจากนี้

“ผมประเมินว่ารัฐบาลคงจะระบายข้าวในสต๊อกได้ไม่เกินปีละ 6 ล้านตัน เพราะอย่าลืมว่าไม่ใช่ว่าตอนนี้มีข้าวสารจากสต๊อกรัฐบาลเท่านั้น แต่ทุกปีชาวนาผลิตข้าวเปลือกออกมาหลายสิบล้านตัน และเมื่อปริมาณข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลอยู่ในระดับ 2 ล้านตันเมื่อไหร่ ราคาข้าวเปลือกและข้าวสารไทยจะปรับเข้าสู่ระดับปกติ คือ ราคาข้าวเปลือกน่าจะไม่ต่ำกว่า 1.1 หมื่นบาทต่อตัน และข้าวสาร 5% ราคาจะกลับอยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน” สมพร ประเมิน

แต่ทว่าปัญหาที่จะตามมาหลังจากนั้นก็คือ รัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นบาทต่อปี เพื่อชดเชยภาระขาดทุนในโครงการนี้ หรืออาจต้องใช้เวลา 5-10 ปีเลยทีเดียว กว่าจะชดใช้หนี้สินได้ทั้งหมด ซึ่งนี่ไม่นับค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการและดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท

สรุปได้ว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกที่หลายฝ่ายเตือนแล้วไม่ยอมฟัง รัฐบาลยังดื้อดึงดันโครงการสุดลิ่มจนสร้างความเสียหายให้ประเทศมหาศาล และก็ไม่ได้ทำให้ชาวนาลืมตาอ้าปากได้ตามคำลวงของรัฐบาลเพื่อไทยสัญญาไว้ ยิ่งลักษณ์ และพวก จึงไม่อาจปฏิเสธความฉิบหายในครั้งนี้ไปได้

ข่าวล่าสุด

เปิดตัว Gemini 3 Flash โมเดล AI ราคาประหยัดแต่ฉลาดเกือบเท่าเดิม