ผู้นำคนกลางในการเมืองกรีกโบราณ
ในปี 594 B.C. วิกฤตการณ์การเมืองในนครรัฐเอเธนส์ทวีความรุนแรงใกล้เกิดสงครามกลางเมือง ชนชั้นสูงและคนจนส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องต้องกันให้สิทธิอำนาจแก่บุคคลคนหนึ่งในการหาทางแก้ไขวิกฤตดังกล่าว บุคคลผู้นี้คือ โซลอน (Solon) แม้เขาเป็นคนชนชั้นสูง แต่ก็มีวิถีชีวิตสมถะ โซลอนจึงเป็นที่ยอมรับนับถือจากทั้งสองชนชั้น
ในปี 594 B.C. วิกฤตการณ์การเมืองในนครรัฐเอเธนส์ทวีความรุนแรงใกล้เกิดสงครามกลางเมือง ชนชั้นสูงและคนจนส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องต้องกันให้สิทธิอำนาจแก่บุคคลคนหนึ่งในการหาทางแก้ไขวิกฤตดังกล่าว บุคคลผู้นี้คือ โซลอน (Solon) แม้เขาเป็นคนชนชั้นสูง แต่ก็มีวิถีชีวิตสมถะ โซลอนจึงเป็นที่ยอมรับนับถือจากทั้งสองชนชั้น
มาตรการสำคัญที่เขาใช้ในการปฏิรูปก็คือ 1.นิรโทษกรรมทั่วไปแก่คนที่ต้องทำความผิดอันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจสังคมที่ผ่านมา 2.ยกเลิกการชดใช้หนี้สินด้วยการเป็นทาส 3.ปลดปล่อยผู้ที่ตกเป็นทาสเพราะปัญหาทางเศรษฐกิจ 4.ยกเลิกการจ่าย “ส่วย” ที่คนชั้นล่างต้องจ่ายให้เจ้าที่ดิน 5.ลงโทษตัดสิทธิคนที่ไม่เลือกข้างใดข้างหนึ่งในวิกฤต เอาตัวรอดเพื่อหวังจะเข้าข้างฝ่ายที่ชนะ ที่สำคัญก็คือ เขาไม่ทำการปฏิรูปที่ดินตามที่พวกชนชั้นล่างเรียกร้อง
โซลอนปฏิรูประบบยุติธรรม ตั้ง “ศาลประชาชน” ขึ้น ให้สิทธิแก่ทุกฝ่ายที่จะอุทธรณ์ ศาลนี้ทำหน้าที่เสมือนศาลอุทธรณ์ ผู้ใดไม่พอใจกับการตัดสินของกลุ่มผู้ปกครองทั้งเก้าอันเป็นองค์กรตุลาการที่ดำรงอยู่ก่อน ก็สามารถอุทธรณ์ต่อศาลนี้ได้
เขาขยายสิทธิทางกฎหมายในการฟ้องร้อง ซึ่งเดิมนั้นจำกัดให้แต่เฉพาะผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงเท่านั้นมาให้ทุกคนมีสิทธิฟ้องในฐานะตัวแทนของผู้เสียหายหรือฟ้องผู้ปกป้องผลประโยชน์สาธารณะได้
สิ่งสำคัญในการปฏิรูปของเขา อีกประการหนึ่ง คือ การให้กำเนิดสิ่งที่เรียกว่า “สภาสี่ร้อย” มีหน้าที่รวบรวมเตรียมเรื่องราวต่างๆ ที่สำคัญเพื่อเสนอให้สภาประชาชนทำการพิจารณา เราสามารถกล่าวได้ว่า มาตรการที่เขาจัดตั้งขึ้นมานั้นเป็นส่วนสำคัญที่เป็นฐานสำหรับการไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยของเอเธนส์
ถ้าจะพิจารณาถึงการปฏิรูปทางเศรษฐกิจของโซลอน เราจะพบว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจตามมาตราข้างต้นนั้นได้ก่อให้เกิดการปฏิรูปทางการเมืองที่สำคัญติดตามมา นั่นคือ การยกเลิกการจ่าย “ส่วย” ถือเป็น “นโยบายการปลดแอก” ที่ก่อให้เกิดจิตสำนึกของ “ความเป็นพลเมือง” ขึ้นในหมู่พวกชนชั้นล่าง
การขยายสิทธิในการฟ้องร้องแทนบุคคลอื่นหรือแม้แต่การมีสิทธิฟ้องในฐานะผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้เป็นการเปิดโอกาสให้พลเมืองทั่วไปไม่คำนึงว่าจะมีสถานะทางสังคมอะไรสามารถมีส่วนช่วยบังคับใช้กฎหมายของโซลอน ใครก็ตามสามารถมีสิทธิผลักดันให้เกิดการบังคับตามกฎหมายได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การปกครองโดยอำนาจอยู่ที่ประชาชนส่วนใหญ่
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าสิทธิทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นเกณฑ์ของความเป็นพลเมืองนั้นไม่เพียงแต่เป็นสิทธิทางกฎหมาย แต่ยังมีนัยทางการเมืองอีกด้วย เพราะการที่จะบ่งชี้ว่าการกระทำอย่างไรที่เป็นการฝ่าฝืนทางกฎหมายและเป็นอันตรายต่อรัฐหรือส่วนรวมนั้น ไม่ได้ถูกผูกขาดแต่เฉพาะการตัดสินหรือวิจารณญาณของชนชั้นสูงเท่านั้น
แต่ประชาชนผู้ใดก็ตามที่มีความห่วงใยก็มีสิทธิที่จะนำผู้ที่ตนคิดว่าเป็นภัยต่อสังคมขึ้นศาลได้ และการจัดตั้งศาลประชาชนให้ทำหน้าที่ศาลอุทธรณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่แผ้วทางให้กับจิตสำนึกในเรื่องอำนาจของคนส่วนใหญ่ที่จะสามารถทบทวนการพิจารณาคดีที่มีการตัดสินมาแล้วอีกครั้งหนึ่ง และเป็นเครื่องตรวจสอบการบริหารงานยุติธรรมที่เดิมที่จำกัดอยู่แต่ในเฉพาะชนชั้นสูง ในแง่นี้ ศาลประชาชนสามารถเป็นที่พึ่งสุดท้ายได้
สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้เองที่ช่วยสร้างจิตสำนึกทางการเมืองพลเมืองให้กับประชาชนส่วนใหญ่ และเมื่อเวลาผ่านไปเกือบอีกหนึ่งร้อยปี พัฒนาการของจิตสำนึกของประชาชนเหล่านี้ก็อยู่ในสภาพที่พร้อมจะเข้าร่วมการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มากขึ้น จิตสำนึกทางการเมืองที่เกิดขึ้นนี้อาจจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยก็ได้
แต่กระนั้นในความเป็นจริง การปฏิรูปของโซลอนก็ไม่ได้แก้วิกฤตการณ์ที่โครงสร้างหรือที่แก่นของสาเหตุ นั่นคือ การปฏิรูปที่ดิน
หลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าทั้งคนรวยและคนจนต่างก็ไม่มีฝ่ายใดชื่นชมพอใจกับการปฏิรูปของโซลอนเท่าไรนัก ตัวเขาเองก็คงจะตระหนักรู้ด้วยเช่นกัน และด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงตัดสินใจเดินทางออกไปต่างแดนเป็นเวลาถึงสิบปี การไปจากเอเธนส์ของเขานั้นอาจจะเป็นไปได้ว่า เขาไม่ต้องการเผชิญหน้ากับปัญหาที่ยังคงคั่งค้างอยู่ซึ่งไม่สามารถขจัดไปได้จากนโยบายปฏิรูปของเขา โซลอนได้แต่มีความหวังว่าในขณะที่เขาไม่อยู่ในเอเธนส์นั้น นโยบายการปฏิรูปและกฎหมายต่างๆ ของเขานั้นจะได้รับการปฏิบัติตามอย่างจริงจัง
หลังจากนั้นไม่นาน วิกฤตที่ไม่ได้รับการแก้ไขที่สาเหตุที่แท้จริงก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง และนำเอเธนส์ไปสู่สงครามกลางเมืองระหว่างชนชั้นนำสามฝ่าย และในปี 561 B.C. ความขัดแย้งก็ลงเอยด้วยการสถาปนาระบอบที่อำนาจอยู่ในมือของคนคนเดียวที่ชื่อไพซีสตราโตส (Peisistratos) ผู้ที่ประชาชนคนส่วนใหญ่ในขณะนั้นต่างพากันยอมรับชื่นชมในฐานะที่เป็น “อัศวินม้าขาว” แต่หลังจากที่เอเธนส์เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ในปี 507/508 B.C. ระบอบการปกครองภายใต้ไพซีสตราโตสก็ถูกเรียกขานว่าเป็นระบอบทรราช


