การทูตแบบพหุภาคี (ตอนจบ)
หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้วผู้เขียนได้อธิบายถึงลักษณะของการทูตแบบพหุภาคีไปแล้ว สัปดาห์นี้จะขอต่อเรื่องความแตกต่างระหว่างการทูตแบบพหุภาคีกับการทูตแบบทวิภาคีนะครับ การทูตแบบพหุภาคีมีความแตกต่างจากการทูตแบบทวิภาคีอย่างไร คำตอบก็คือ
หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้วผู้เขียนได้อธิบายถึงลักษณะของการทูตแบบพหุภาคีไปแล้ว สัปดาห์นี้จะขอต่อเรื่องความแตกต่างระหว่างการทูตแบบพหุภาคีกับการทูตแบบทวิภาคีนะครับ การทูตแบบพหุภาคีมีความแตกต่างจากการทูตแบบทวิภาคีอย่างไร คำตอบก็คือ
1) จำนวนผู้แทนที่เข้าร่วมการเจรจาต่างกัน โดยแบบพหุภาคีจะมีผู้แทนประเทศผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 2 ประเทศขึ้นไป ขณะที่การทูตแบบทวิภาคีจะมีผู้เข้าร่วมประชุมเพียงแค่ 2 ประเทศเท่านั้น
2) กระบวนการในการจัดการประชุมแตกต่างกัน เนื่องจากการทูตแบบทวิภาคีสามารถดำเนินการได้สะดวกกว่า ขณะที่การเตรียมการและจัดการประชุมแบบพหุภาคีจะมีความซับซ้อนกว่า
3) ประเด็น หรืออาเจนด้า ที่กำหนดลงในระเบียบวาระการประชุมก็มีความแตกต่างกัน เนื่องจากแบบพหุภาคีต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศที่เข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก ดังนั้นประเด็นหรือข้อหารือต้องครอบคลุมความต้องการของประเทศผู้เข้าร่วมประชุมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งต่างจากการเจรจาแบบทวิภาคี ที่มีประเทศเข้าร่วมประชุมเพียง 2 ประเทศเท่านั้น
4) การลงทุนเพื่อเตรียมการเจรจาแบบพหุภาคีจะมี สปอนเซอร์ ที่ให้การสนับสนุนทางการเงินเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งก็หมายความว่าประเทศผู้ได้รับการสนับสนุนจะต้องปฏิบัติตามเป้าหมายหรือความต้องการของผู้ให้เงิน ซึ่งจะทำให้ขาดอำนาจในการตัดสินใจ
5) ระยะเวลาในการเจรจาแบบพหุภาคีมักจะใช้เวลานานกว่าแบบทวิภาคี เนื่องจากมีประเด็นมาก และประเทศที่มีส่วนได้ส่วนเสียก็มากตามไปด้วย
นอกจากนี้ การประชุมแบบพหุภาคียังมีองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องทั้งแบบที่เป็นรัฐและไม่ใช่รัฐอีกด้วย อย่างไรก็ดี แม้ว่าการประชุมแบบพหุภาคีจะยุ่งยากและใช้เงินลงทุนมาก แต่เมื่อมองในภาพรวมแล้วประโยชน์ของการประชุมการทูตแบบพหุภาคียังคงมีให้เห็นมากมายหลายประการ ได้แก่
1) เป็นการประชาสัมพันธ์ด้านเกียรติยศและเกียรติภูมิของกลุ่มประเทศมหาอำนาจและทุกประเทศที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุม
2) ประเทศที่ได้เป็นเจ้าภาพในการประชุมแบบพหุภาคีมักได้รับเกียรติให้เป็นประธานในที่ประชุม
3) ประเทศที่เป็นประธานที่ประชุมแต่ละครั้งในการประชุมแบบพหุภาคีมักจะมีอิทธิพลต่อการกำหนดประเด็นที่จะถูกบรรจุลงในระเบียบวาระการประชุม
4) ทุกประเทศที่ได้รับการเชิญเข้าร่วมประชุมแบบพหุภาคีสามารถอ้างสิทธิพิเศษในการเป็นประเทศที่ทรงเกียรติและได้รับการยอมรับจากนานาประเทศได้อย่างเต็มภาคภูมิ
5) ช่วยสร้างความแน่นแฟ้นในระหว่างบรรดากลุ่มประเทศมหาอำนาจด้วยกันเองและระหว่างกลุ่มประเทศมหาอำนาจกับกลุ่มประเทศที่เล็กกว่า
6) เป็นเวทีที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เข้าร่วมประชุมได้อย่างกว้างขวางและประสบผลสำเร็จ
7) เป็นเวทีที่ช่วยให้ประเทศคู่กรณีบางประเทศสามารถพบปะพูดคุยกันแบบสองต่อสอง หรือที่เรียกว่า “การประชุมไซด์ไลน์” นอกรอบการประชุมแบบพหุภาคี
8) ช่วยประชาสัมพันธ์ผลงานของประเทศที่เข้าร่วมประชุมสู่สายตาชาวโลก เพราะผลของการประชุมต้องเปิดเผยให้ประชาชนในแต่ละประเทศได้รับทราบ


