posttoday

รู้จักดัชนีค่าเงินบาท

28 มีนาคม 2557

เมื่อพูดถึงอัตราแลกเปลี่ยน คนส่วนใหญ่มักนึกถึงการเปรียบเทียบระหว่างสองสกุลเงิน (Bilateral Exchange Rate) เช่น บาทต่อเหรียญสหรัฐ

เมื่อพูดถึงอัตราแลกเปลี่ยน คนส่วนใหญ่มักนึกถึงการเปรียบเทียบระหว่างสองสกุลเงิน (Bilateral Exchange Rate) เช่น บาทต่อเหรียญสหรัฐ

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับอัตราแลกเปลี่ยนก็จะทำให้ทราบว่าเงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่าเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ แต่ในความเป็นจริงค่าเงินบาทสามารถเทียบกับอีกหลายสกุลเงินอื่นๆ ที่ก็มีความสำคัญเช่นกัน เช่น เยน ยูโร หยวน เป็นต้น

การดูเพียงอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นบาทต่อเงินเหรียญสหรัฐ ไม่สามารถชี้ว่าโดยรวมแล้วเงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศอื่นๆ

การติดตามความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนจึงควรพิจารณาควบคู่ไปกับดัชนีค่าเงิน (Nominal Effective Exchange Rate, NEER) และดัชนีค่าเงินที่แท้จริง (Real Effective Exchange Rate, REER) ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบเงินบาทกับสกุลเงินอื่นๆ โดยรวม ทำให้ดัชนี NEER และ REER นี้เป็นเครื่องชี้สำคัญในการวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยน

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เผยแพร่ข้อมูลดัชนี NEER และ REER ของเงินบาท เป็นรายเดือนในเว็บไซต์ของ ธปท. เพื่อเป็นประโยชน์แก่บุคคลทั่วไปในการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ของค่าเงินบาท

วิธีการคำนวณดัชนีค่าเงินบาทค่อนข้างซับซ้อนและมีข้อควรพิจารณาหลายประการ จึงขอทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับดัชนี NEER และ REER ในด้านต่างๆ ดังนี้

ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) คือ การเทียบค่าเงินบาทกับค่าเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งของไทย และนำมาเฉลี่ยโดยถ่วงน้ำหนักด้วยสัดส่วนการค้าระหว่างกัน โดยประเทศที่ไทยค้าขายหรือแข่งขันด้วยมากก็จะได้น้ำหนักมากและลดหลั่นกันไปตามความสำคัญด้านการค้าของประเทศนั้นๆ ต่อไทย

ยกตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย เงินเยนก็จะได้รับน้ำหนักมากในการคำนวณดัชนีค่าเงินบาท เป็นต้น ดัชนีค่าเงินเป็นเครื่องชี้สำคัญที่ใช้วัดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของประเทศได้ในระดับหนึ่ง

ดัชนีค่าเงินบาทจึงการเป็นเครื่องชี้วัดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การพิจารณาความได้เปรียบเสียเปรียบด้านการแข่งขันสามารถทำได้ง่ายในกรณีที่มีเพียงสองประเทศค้าขายกัน เช่น ไทยค้าขายกับสหรัฐเพียงประเทศเดียว เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ ก็จะทำให้สินค้าของไทยที่ส่งออกไปขายยังสหรัฐถูกลง ซึ่งจะเพิ่มแรงจูงใจให้คนอเมริกันนำเข้าสินค้าไทยมากขึ้น

สมมติให้ข้าวหอมมะลิของไทยราคาถุงละ 300 บาท เมื่อขายในสหรัฐราคาจะเท่ากับถุงละ 10 เหรียญสหรัฐ ที่ระดับอัตราแลกเปลี่ยน 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หากเงินบาทอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และสมมติให้มีการปรับราคาทันทีตามอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนไป ข้าวหอมมะลิไทยจะมีราคาเพียง 9.09 เหรียญสหรัฐ

ในขณะเดียวกัน คนไทยจะมองว่าสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐนั้นแพงขึ้น และจะหันมาบริโภคสินค้าในประเทศมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงไทยค้าขายและแข่งขันกับหลายประเทศ การเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งจึงมีความซับซ้อนขึ้น การพิจารณาเพียงคู่สกุลเงินอาจให้ภาพที่ไม่ครบถ้วน เพราะบางครั้งเงินบาทอาจอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับบางสกุลเงิน แต่อาจแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับอีกสกุลเงินหนึ่ง และแต่ละสกุลเงินมีความสำคัญในแง่การค้าไม่เท่ากัน

ฉะนั้น ดัชนีค่าเงินจึงมีบทบาทสำคัญในการเปรียบเทียบสกุลเงินของตนกับประเทศคู่ค้าคู่แข่งที่สำคัญ โดยดัชนีค่าเงินที่อ่อนลงจะสะท้อนว่าประเทศได้เปรียบด้านราคาโดยรวมเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าคู่แข่ง

นอกจากนี้ ดัชนีค่าเงินยังถูกนำมาพิจารณาควบคู่กับระดับราคาโดยเปรียบเทียบกับประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง เพื่อให้ได้ดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง (REER) ซึ่งเป็นตัววัดความสามารถ

ในการแข่งขันด้านราคาได้ถูกต้องตามหลักการกว่า เนื่องจากสามารถสะท้อนอำนาจซื้อที่แท้จริงและความสามารถในการผลิตสินค้าของประเทศด้วยต้นทุนที่แตกต่างกันโดยทั่วไป การเปรียบเทียบระดับราคาระหว่างประเทศนิยมใช้ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index, CPI) เพราะสามารถรวบรวมข้อมูลรายประเทศได้ง่าย

สำหรับในประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีข้อมูลค่อนข้างครบถ้วนยังอาจนำค่าจ้างแรงงานต่อหนึ่งหน่วยการผลิต (Unit Labor Cost, ULC) มาใช้ประกอบการเปรียบเทียบระดับราคาระหว่างประเทศด้วย เพื่อสะท้อนความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนการผลิต

อย่างไรก็ดี นอกจากดัชนี NEER และ REER แล้ว การชี้วัดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมทั้งผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจยังต้องพิจารณาข้อมูลในมิติอื่นๆ ประกอบกันด้วย

ในการอ่านค่าดัชนีค่าเงิน หากดัชนีค่าเงินบาทปรับสูงขึ้น แสดงว่าเงินบาท ณ ขณะนั้นแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าคู่แข่ง ซึ่งลดทอนความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ในทางกลับกัน หากดัชนีค่าเงินบาทปรับลดลงแสดงว่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าคู่แข่ง

ทั้งนี้ ในกรณีของไทยที่ระดับเงินเฟ้อภายในประเทศค่อนข้างต่ำและมีเสถียรภาพ ดัชนี NEER และ REER มักเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน

อย่างไรก็ดี ดัชนี NEER อาจเคลื่อนไหวในทิศทางที่ไม่สอดคล้องกับดัชนี REER ได้ ในกรณีที่ระดับเงินเฟ้อของประเทศเปลี่ยนแปลงมากกว่าประเทศคู่ค้าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ประเทศที่ค่าเงินอ่อนลงเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าคู่แข่ง แต่ระดับราคาในประเทศสูงขึ้นมากกว่าประเทศอื่นๆ ดัชนี NEER ก็จะอ่อนค่าลง

ในขณะที่ดัชนี REER จะแข็งค่าขึ้น สะท้อนว่าแม้ค่าเงินจะอ่อนค่าลง แต่เพราะระดับเงินเฟ้อที่สูงเป็นตัวกัดกร่อนอำนาจซื้อ และทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ประเทศจึงไม่ได้เปรียบด้านการแข่งขันด้านราคาอย่างแท้จริง

ดัชนีค่าเงินที่แท้จริงจึงเป็นเครื่องชี้วัดสำคัญประกอบการพิจารณาเชิงนโยบาย โดยธนาคารกลางส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศที่ใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ (Managed floating exchange rate regime) จะติดตามการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนทั้งที่เป็น Bilateral Exchange Rate และดัชนีค่าเงินควบคู่กันไป เพื่อประเมินความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แรงกดดันต่อเงินเฟ้อ รวมทั้งความสอดคล้องของค่าเงินกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ บางประเทศยังใช้ดัชนีค่าเงินเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงิน เช่น สิงคโปร์ที่กำหนดให้ดัชนีค่าเงินเคลื่อนไหวในกรอบและทิศทางที่สอดคล้องกับเสถียรภาพทางราคาและศักยภาพของเศรษฐกิจ

การคำนวณน้ำหนักทางการค้าของดัชนีค่าเงินในส่วนนี้ จะอธิบายถึงวิธีการคำนวณดัชนีค่าเงินที่ค่อนข้างซับซ้อนและมีสิ่งที่ต้องพิจารณาหลายประการ โดยเฉพาะในการคำนวณน้ำหนักการค้าของแต่ละประเทศ

การเฉลี่ยค่าเงินหลายๆ สกุลตามน้ำหนักที่ธนาคารกลางในแต่ละประเทศ รวมทั้งไทยนิยมใช้อย่างแพร่หลายคือ การหาค่าเฉลี่ยเรขาคณิตแบบถ่วงน้ำหนัก (Weighted Geometric Mean) เพราะการคำนวณมีความเหมาะสมกว่าการหาค่าเฉลี่ยเลขคณิตแบบถ่วงน้ำหนัก (Weighted Arithmetic Mean)

ขณะที่การคัดเลือกสกุลเงินโดยหลักการ การคำนวณดัชนีค่าเงินควรครอบคลุมสกุลเงินที่มากพอ เพื่อให้สะท้อนฐานะการค้าและการแข่งขันที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุดโดยทั่วไป เกณฑ์ในการคัดเลือกสกุลเงินมักอิงจากสัดส่วนการนำเข้าหรือการส่งออกสินค้า ซึ่งสะท้อนโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศในแต่ละช่วงเวลา แต่บางประเทศอาจใช้สัดส่วนการลงทุนหรือสัดส่วนหนี้ต่างประเทศแทน ในการคำนวณของ ธปท.จะคัดเลือกสกุลเงินจากเกณฑ์การค้า ดังนี้

(1) สกุลเงินของประเทศที่เลือกมีสัดส่วนการนำเข้า (ไม่รวมน้ำมัน) และการส่งออกรวมกันเกินร้อยละ 1 ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทย (2) เป็นประเทศคู่แข่งสำคัญของไทยในตลาดที่สาม และ (3) เป็นตัวแทนประเทศในภูมิภาคที่สำคัญอื่นๆ

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025