พงษ์สิทธิ์ คำภีร์"เราหนีการเมืองไม่พ้นหรอก"
ปัญหาของประเทศนี้คือไม่ว่าเขาจะพูดอะไรไปก็ตาม คุณก็ไม่ชอบอยู่ดี คุณอยากฟังคำพูดที่คุณชอบอย่างเดียว นี่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ประชาธิปไตย
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล
สร้างความงุนงงสงสัยไม่น้อยว่าเพราะเหตุใด "ปู-พงษ์สิทธิ์ คำภีร์" ศิลปินเพื่อชีวิตชื่อดัง ถึงโดนโห่ไล่ระหว่างเดินสายเล่นคอนเสิร์ต เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งที่เขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมานานนับสิบปีแล้ว ตั้งแต่ขึ้นเวทีพันธมิตรเมื่อคราวโน้น ทั้งที่ไม่เคยให้สัมภาษณ์ ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆเกี่ยวกับการเมืองเลย
วันนี้ ปู-พงษ์สิทธิ์ ปรากฏตัวต่อสาธารณชนอีกครั้งในงานแถลงข่าวคอนเสิร์ตใหญ่ชื่อ "คำภีร์เพลงรัก" ในวันที่ 24 พ.ค.ที่จะถึงนี้ ณ ไบเทคบางนา
เขาพร้อมแล้วที่จะเปิดใจครั้งแรกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พงษ์สิทธิ์กล่าวว่าหลังปฏิวัติปี 2549 เป็นต้นมา เขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลย ไม่เคยไปร่วมเวทีใดๆ ไม่แม้แต่แสดงความคิดเห็น
"รู้สึกหดหู่มากกับเหตุการณ์ครั้งนี้ เรากำลังเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องการพัฒนากันไม่ใช่เหรอ การไปขับไล่ศิลปินที่จะไปขึ้นเวทีใดเวทีหนึ่งของทั้งสองฝ่าย และไปคาดคั้นว่าอยู่สีไหน มันเหมือนผีบ้า นั่นแสดงว่าเราไม่สามารถแสดงความเห็นทางการเมืองได้เลย
ผมไม่ใช่นักวิชาการที่ไปออกทีวีเสร็จแล้วนอนอยู่บ้าน อาชีพนักดนตรีจำเป็นต้องไปทุกจังหวัด ทุกวัน ถ้าเรากำลังเรียกร้องประชาธิปไตยให้มันดีขึ้น ผมว่านี่มันเป็นการลิดรอนสิทธิ์คนอื่น โดยที่เขาไม่มีทางสู้
อย่างเวทีแพร่ที่ผมโดนไล่ เขาทำป้ายไว้ด่าพี่หงา เพราะแกมีคิวเล่นกับผมด้วย แต่พอเขาต่อต้าน พี่หงาเลยไม่ไป ผมก็ไป ไม่คิดว่าจะโดน ในที่สุดก็ต้องยุติ เพราะผมเข้าเวทีไม่ได้ หลังจากวันนั้นเจอพี่หงา แกบอกว่า 'เฮ้ยจะเป็นพระเอกอย่างเดียวได้ยังไง โดนด่าซะมั่ง'(หัวเราะ)"
โดนด่าว่าอะไรบ้าง?
"โอโห ด่าไส้แตกเลย หยาบคายมาก ไอ้หน้านั่นไอ้หน้านี่ แต่ด่าแบบไม่มีเหตุผล ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับการเมืองเลยนะ ผมก็นั่งฟัง แล้วให้ลูกน้องถ่ายคลิปไว้"
ความคิดที่ว่าอยู่เงียบๆน่าจะทำให้ทุกคนมีความสุข พงษ์สิทธิ์ยอมรับว่าคิดผิดถนัด อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตคนแรกที่แสดงจุดยืนชัดว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ก็ยังโดนลากเข้าไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น แอ๊ด คาราบาว ที่ถูกมือดีนำเพลง "คนโลภ" ในอัลบั้ม "ซึม เศร้า เหงา แฮงค์" ไปตัดต่อเอ็มวีใหม่เพื่อโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนมีผู้เข้าใจผิดออกมาโจมตีกล่าวหาหาว่าเป็นเสื้อแดง
"กรณีพี่แอ๊ด ก็โดนเรื่องเพลงที่เขาแต่งตั้งแต่ปีมะโว้ พวกเรานักดนตรีเพื่อชีวิตมีเพลงที่พูดเรื่องแบบนี้เยอะกว่านี้อีก มันเป็นข้อมูลที่ค้นหาได้ง่ายมาก ขุดเอามาใช้ประโยชน์ได้เยอะ แต่ถามว่าจะทำไปเพื่ออะไร ไอ้พวกที่ตัดต่อภาพผมกำลังเล่นดนตรี แล้วใส่ข้อมูลผิดๆว่าผมกำลังเล่นอยู่บนเวทีม็อบ ผมไม่เข้าใจว่าเขาทำแล้วได้อะไร
การที่บางคนชอบเรียกร้องให้ศิลปินเพื่อชีวิตออกมา ผมมันก็เป็นสิทธิ์ของศิลปินแต่ละคน เขาจะออกมาจะอยู่เฉยๆ หรือจะไม่พูดอะไรเลยมันก็เรื่องของเขา ปัญหาของประเทศนี้คือไม่ว่าเขาจะพูดอะไรไปก็ตาม คุณก็ไม่ชอบอยู่ดี คุณอยากฟังคำพูดที่คุณชอบอย่างเดียว นี่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ประชาธิปไตย
ตั้งแต่มีม็อบคราวนี้มีคนชวนขึ้นเวทีทุกวัน ผมก็ปฏิเสธไปว่าไม่สะดวก เพราะรู้ว่าสถานการณ์มันเป็นแบบนี้ ทุกคนก็บอกให้ระวัง ผมเลยคิดว่าการไม่ออกมาพูดอะไรเลยดีที่สุด... จริงๆไอ้ที่กำลังให้สัมภาษณ์อยู่นี่ก็คงไม่ชอบกันแล้วล่ะ เนี่ยก็เลยไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหน จะจัดวางตำแหน่งตัวเองไม่ถูก"เขาหัวเราะ
โซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นอะไรที่เลวร้ายมาก---พงษ์สิทธิ์พูดอย่างหนักแน่น
"ผมไม่เล่นเฟซบุ๊ก เพราะรู้ว่าเดี๋ยวนี้มันมั่วเละเทะไปหมด ผมว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กมันเลวร้าย เท่าที่เจอกับตัวเองมันอันตราย และมันป้องกันตัวเองไม่ได้ ไม่แฟร์ เท่าที่ผมดูพวกพี่ๆวันนี้ก็ทะเลาะแตกแยกกันไปหลายคน ด่ากัน ให้ร้ายกันลับหลัง มันเชย ถ้าเหตุการณ์สงบลงรัฐบาลใดๆก็ควรเข้ามาดูแลเรื่องนี้เป็นพิเศษ"
ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ทางการเมือง นักดนตรีอย่างพงษ์สิทธิ์ คำภีร์ก็จะไม่พลาด หยิบเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาแต่งเป็นเพลง แต่คราวนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
"การต่อสู้ทางการเมืองรอบนี้มันทำให้ศิลปินฝ่อ ฝ่อเพราะว่าการแสดงความคิดอ่านอะไรออกไปมันเป็นตราย มันจะผลักเราออกไปสู่จุดที่ว่า 'กูไม่ยุ่งกับมึง' 'กูอยู่เฉยๆดีกว่า' มันผลักดันเราไปจุดนั้น เหมือนแสดงความเห็นออกไปแล้วมันไม่มีอะไรบวก ไม่มีการแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน
ต้องยอมรับว่าวันนี้ศิลปินบางคนเขาก็มีปัญหา ไม่สามารถไปเล่นได้ทุกจังหวัดอีกแล้ว งานลดลงแน่นอน อย่างเสก โลโซก็ไปทางใต้ลำบาก พี่หงาก็ไปเหนือ อีสานก็ลำบาก ตัวผมเองยังเหมือนเดิม กิน เที่ยว ใช้ชีวิตสุดตีน มีคิวเล่นทุกวันทั่วประเทศ จนถึงเดือนพ.ค.
แต่หลังเกิดเหตุการณ์นี้ ก็บอกกับคนจัดงานทุกคนว่ากรณีแบบนี้ผมเห็นใจนะ สมมติถ้าผมไปจังหวัดนี้ รู้แน่แล้วจะต้องถูกคุกคาม ก็คืนเงินไป ถือว่าเข้าใจกัน แต่ถ้าเขายืนยันจะจัดต่อ เราก็ไปเล่นปกติ นี่ยังไม่มียกเลิกโปรแกรมล่วงหน้า ยังเล่นต่อไป"
พงษ์สิทธิ์เห็นด้วยให้ทั้งสองฝ่ายมีการเจรจา พูดคุยตกลงกัน เพื่อไม่ให้ประเทศบอบช้ำไปกว่านี้
"มีแค่ 2 อย่างคือ ก.มานั่งคุยกัน ข.พาคนไปฆ่ากัน ทั้งสองฝ่ายก็รู้อยู่แล้วว่าผลจะเป็นอย่างไร คนเขารักเขาศรัทธาเขาถึงเดินตาม แล้วจะทำกับเขาอย่างนี้เหรอ อะไรนักหนาถึงไม่คุยกัน ประเทศที่เขารบกันแย่กว่าเรา เขายังคุยกัน"
ก่อนการสนทนาจะจบลง พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ ทิ้งท้ายด้วยประโยคอันสะท้อนถึงสัจธรรมว่า "ไม่ว่าจะออกมาหรือไม่ เราก็หนีจากการเมืองไม่พ้น"


