แลระบบประกันสุขภาพของญี่ปุ่น(17)
หากจะเปรียบเทียบระบบประกันสุขภาพของญี่ปุ่นกับของไทยจะพบทั้งส่วนที่คล้ายคลึงกันและแตกต่างกัน พอสรุปได้ดังนี้
หากจะเปรียบเทียบระบบประกันสุขภาพของญี่ปุ่นกับของไทยจะพบทั้งส่วนที่คล้ายคลึงกันและแตกต่างกัน พอสรุปได้ดังนี้
ส่วนที่คล้ายคลึงกันในข้อสำคัญคือ 1)ทั้งสองประเทศสามารถให้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่ประชาชนทั้งประเทศ 2) ทั้งสองประเทศมีกองทุนที่หลากหลาย โดยญี่ปุ่นแบ่งได้เป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มมีตั้งแต่1 กองทุน ถึงนับพันกองทุน รวมแล้ว 4,033 กองทุน ของไทยแบ่งเป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ ประกอบด้วย ก) สวัสดิการข้าราชการ ข) ประกันสังคม ค) บัตรทอง ง) ผู้ประสบภัยจากรถ จ) สวัสดิการในหน่วยงานของรัฐอื่น เช่น มหาวิทยาลัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดย 3 กลุ่มแรกเป็นกองทุนเดียวในแต่ละกลุ่ม สำหรับกองทุนผู้ประสบภัยจากรถ ประกอบด้วย บริษัทประกันจำนวนมาก ส่วนหน่วยงานของรัฐอื่นและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีราว 8,000 กองทุน
สำหรับส่วนที่แตกต่างกัน ที่สำคัญคือ 1) ญี่ปุ่นสามารถให้สิทธิประโยชน์ที่เท่าเทียมกันกับประชาชนทั้งประเทศ แต่ของไทยมาตรฐานยังลักลั่นกันมาก 2) ญี่ปุ่นใช้ระบบการเงินการคลังแบบจ่ายตามการให้บริการ (FeeForService) กับทุกกลุ่ม แต่ของไทยแบ่งใหญ่ๆ เป็น 2 ประเภท คือ ประกันสังคม และบัตรทอง ใช้ระบบเหมาจ่าย ผู้ประสบภัยจากรถจ่ายตามการให้บริการโดยมีเพดานกำหนด และที่เหลือเป็นแบบจ่ายตามการให้บริการ 3) ญี่ปุ่นเปิดให้ประชาชนไปใช้บริการได้โดยเสรีกับทุกกลุ่ม แต่ของไทยมีการจำกัดการไปรับบริการกับประชากร กลุ่มใหญ่ คือ ประกันสังคม กับบัตรทอง 4) ญี่ปุ่นมีระบบให้ประชาชนร่วมจ่ายโดยการเก็บค่าเบี้ยประกันหรือภาษีประกัน และร่วมจ่ายแต่ละครั้งที่ไปรับบริการ โดยมีการจัดระบบการร่วมจ่ายตามกำลังของแต่ละกลุ่มและแต่ละคน และมีเพดานกำกับส่วนของไทยให้ร่วมจ่ายโดยเก็บเบี้ยประกันเฉพาะประกันสังคม กับระบบประกันผู้ประสบภัยจากรถ และเก็บเมื่อไปใช้บริการตามความสมัครใจครั้งละ 30 บาทกับโครงการบัตรทอง
ชัดเจนว่าเพราะการเลือกระบบการจ่ายเงินแบบจ่ายตามการให้บริการ และการเปิดให้ประชาชนไปรับบริการโดยเสรี แม้จะมีระบบการให้ประชาชนร่วมจ่ายทั้งจ่ายล่วงหน้าและจ่ายเมื่อไปรับบริการ รวมแล้วถึงร้อยละ 41.8 และมีระบบการตรวจสอบการเบิกจ่ายอย่างเข้มแข็งโดยมีการลงทุนอย่างมากในระบบตรวจสอบ และทบทวนอย่างกว้างขวางมาก ทำให้ค่าใช้จ่ายในระบบประกันสุขภาพของญี่ปุ่นสูงมาก แม้เมื่อคิดเทียบกับจีดีพีแล้ว จะจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีค่าใช้จ่าย “ปานกลาง” โดยต่ำกว่าของสหรัฐเกือบครึ่ง แต่เมื่อเทียบกับของไทยแล้วก็สูงกว่ามาก กล่าวคือ หากเทียบกับจีดีพี ญี่ปุ่นสูงกว่าเราราว 2.4 เท่า แต่เพราะจีดีพีของญี่ปุ่นสูงกว่าเราถึง 8.67 เท่า เมื่อเทียบจำนวนเงินต่อประชากรแล้ว ญี่ปุ่นจึงแพงกว่าเราถึง 10.7 เท่า
ฉะนั้น หากเราจะ “เดินตาม” ญี่ปุ่น จึงต้องเดินตามด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะในเรื่องระบบการเงินการคลัง ถ้าเราเลือกระบบจ่ายตามการให้บริการและเปิดให้ไปรับบริการได้โดยเสรี ค่าใช้จ่ายก็จะแพงขึ้นอีกอย่างน้อย 56 เท่า หรืออาจถึงมากกว่า 10 เท่าอย่างญี่ปุ่น ส่วนระบบร่วมจ่ายหากจะนำมาใช้ก็ต้องมุ่งให้เกิดความเป็นธรรม โดยต้องพิจารณาเริ่มใช้กับระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ซึ่งเป็นระบบแบบเดียวกับญี่ปุ่น นั่นคือ เปิดให้ไปใช้บริการได้โดยเสรี และจ่ายตามการให้บริการเหมือนกัน
สิ่งสำคัญที่ควรเรียนรู้จากญี่ปุ่นคือ ทำอย่างไรให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับสิทธิประโยชน์ในระบบประกันสุขภาพเท่าเทียมกัน โดยระบบบริการที่มีคุณภาพ และปราศจากข้อเคลือบแคลงสงสัยใดๆ
ญี่ปุ่นเริ่มมีกฎหมายประกันสุขภาพตั้งแต่ปี 2465 และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ญี่ปุ่นก็ได้สร้างระบบประกันสุขภาพให้แก่คนยากจน ตั้งแต่ปี 2481 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ก็มีการปฎิรูประบบประกันสุขภาพครั้งใหญ่ เมื่อปี 2491 พอถึงปี 2500 ญี่ปุ่นก็เริ่มคิดถึงระบบ “ประกันสุขภาพถ้วนหน้า” และประสบความสำเร็จตั้งแต่ปี 2504 และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนทุกวันนี้
น่าชื่นชมญี่ปุ่นที่มีระบบการเมืองการปกครองและประชาชนที่เข้มแข็ง แม้จะเป็นระบบรัฐสภา (Parliamentary System) ที่รัฐบาลมักจะมีอายุสั้นเหมือนไทย แต่ญี่ปุ่นมีนักการเมืองที่ “มียางอาย” สูง มีรัฐบาลและรัฐสภาที่มุ่งแก้ปัญหาของประเทศชาติและประชาชนมากกว่าจะเป็นเวทีตีฝีปาก และปะทะคารมทางการเมืองเป็นหลัก และไม่มี “วงจรอุบาทว์” เพราะญี่ปุ่นไม่มีกองทัพ ระบบการเมืองการปกครองของญี่ปุ่นจึงเอื้ออำนวยให้มีการพัฒนาระบบประกันสุขภาพจนสามารถแก้ปัญหาของประชาชนได้อย่างน่าชื่นชม เมื่อมีนักการเมืองทุจริตคอร์รัปชั่น เขาก็สามารถโค่นล้มและลงโทษได้อย่างกรณีสินบนบริษัท ล็อคฮีต เป็นต้น
ขณะที่หน่วยงานที่ดูแลงานด้านนี้ของญี่ปุ่นอยู่ในกระทรวงเดียว คือ กระทรวงสาธารณสุข แรงงานและสวัสดิการ แต่ของเรากระจายออกไปอย่างน้อย 5 กระทรวง คือ สาธารณสุข แรงงาน คลัง ศึกษาธิการ และมหาดไทยน่าเสียดายเมื่อมีการผลักดัน พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มิได้ลงไปผลักดันอย่างเพียงพอ ทำให้ 3 กองทุนใหญ่ในระบบประกันสุขภาพ คือ บัตรทอง ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ ยังอยู่แยกกัน แม้จะมีมาตรา 9 และ 10 เปิดทางให้รวม 3 กองทุนเข้าด้วยกัน แต่ก็มิได้มีการผลักดันจากฝ่ายการเมืองอย่างจริงจังอีกเลย
น่าเสียดายที่ทายาททางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เข้ามาดูแลงานด้านนี้ ไม่มีใครที่มีวิสัยทัศน์ ฝีมือ และความตั้งใจ ที่จะทำงานด้านนี้ให้พัฒนาสู่เป้าหมาย คือ ความเป็นธรรม คุณภาพและประสิทธิภาพอย่างแท้จริงเลยตรงข้ามกลับทำสิ่งที่ทำลายหลักการ เพื่อมุ่งหวังประโยชน์ทางการเมืองเป็นหลัก เช่น การเก็บ 30 บาทก็ดี การเปิดให้ผู้ป่วยฉุกเฉินรับบริการได้ทุกที่โดยไม่มีการศึกษา และเตรียมการอย่างรอบคอบก็ดี และความพยายามจะทำ “หน่วยงานกลางจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข” (National Data Clearing House) โดยไม่มีการศึกษาและเตรียมการอย่างรอบคอบ และเลือกใช้คนที่ขาดทั้งความรู้ ความสามารถ และคุณธรรมจริยธรรมก็ดี ล้วนเป็นการทำลายระบบมากกว่าการพัฒนาระบบ
นโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินรักษาได้ทุกที่” ปรากฏว่ากลุ่มที่ไปใช้บริการมากที่สุดคือ สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ซึ่งใช้เงินในระบบแพงกว่าระบบบัตรทอง 56 เท่าอยู่แล้ว และยังผลักให้เป็นภาระของระบบบัตรทองให้ต้องออกค่าใช้จ่ายไปก่อนด้วย
สำหรับ “หน่วยงานกลางจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข” ยังมิได้มีการศึกษาและเตรียมการอย่างรอบคอบและชัดเจนเพียงพอกลับมีการทำลายหน่วยงานต่างๆ ที่ทำหน้าที่ในการพัฒนาระบบการตรวจสอบและควบคุมค่าใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาลของระบบต่างๆ ได้แก่ 1) ศูนย์พัฒนา กลุ่มโรคร่วมไทย (ศรท.) ซึ่งดูแลเรื่องการพัฒนากลุ่มการวินิจฉัยโรคร่วม 2) สำนักงานกลางสารสนเทศบริการสุขภาพ (สกส.) ซึ่งดูแลการเบิกจ่ายในระบบสวัสดิการข้าราชการ 3) สำนักพัฒนาระบบตรวจสอบการรักษาพยาบาล (สพตร.) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบการเบิกจ่ายสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และ 4) ศูนย์พัฒนามาตรฐานระบบข้อมูลสุขภาพไทย (ศมสท.) ซึ่งดูแลเรื่องการบรรสานสามกองทุน
น่าเสียดายระบบประกันสุขภาพไทยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนสำคัญในการเปิดทางไว้ และ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ได้พัฒนามาได้อย่างงดงาม กลับกำลังถูกบ่อนทำลายลงไปเรื่อยๆ
ได้ไปเห็นของดีๆ ที่ญี่ปุ่นมาแล้ว จะเอามาใช้ได้บ้างหรือไม่หนอ


