ถอดรหัสแก๊งป่วนม็อบ"มันหนีไปเขมรแล้ว"
บอกได้เลยว่าทุกคดีรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คนร้ายหนีไปประเทศเขมรหมดแล้ว แต่ผมมั่นใจว่าต้องกลับเข้ามาแน่นอน
โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ / เอกชัย จั่นทอง
การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เป้าหมายโค่นล้มระบอบทักษิณก้าวมาถึง 151 วันแล้ว และความเข้มข้นในการยกระดับการต่อสู้ของกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ มีมาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับความสูญเสียด้วยความรุนแรงที่เกิดกับผู้ชุมนุม จนถึงขณะนี้มีผู้บาดเจ็บทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ของรัฐไปแล้วถึง 730 คน ตายอีก 20 คน และยังนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอีก 12 คน
แต่จนถึงขณะนี้ตำรวจก็ยังไม่สำแดงฝีมือจับกุมให้เห็นแม้แต่รายเดียว โดยเฉพาะที่ลอบยิง ปาระเบิดถล่มใส่พื้นที่ของผู้ชุมนุม กปปส. รวมถึงเครือข่าย บ้านญาติมิตรของบรรดาแนวร่วม กปปส. และผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามรัฐบาล ไม่เว้นแม้กระทั่งศาลอาญาก็เป็นพื้นที่กระสุนตกของระเบิดเอ็ม 79 รวมแล้วเกิดเหตุมากกว่า 50 ครั้งในช่วงสองเดือนของการต่อสู้ที่ผ่านมา
เกิดข้อสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับการทำงานของตำรวจ หรือเกียร์ว่างเสียแล้ว จากภาพที่ตำรวจเป็นปฏิปักษ์กับมวลมหาประชาชนที่โค่นล้มระบอบทักษิณ จึงทำให้ไม่สนใจหาคนร้ายที่ใช้ความรุนแรงกับกลุ่ม กปปส.???
คำถามเหล่านี้กดดันไปยังแม่งานหลักอย่าง “บิ๊กเอก” พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ที่ถูกมอบหมายจาก ผบ.ตร.ให้ติดตามคดีและเร่งรัดไขความกระจ่างในคดีความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้
โพสต์ทูเดย์ บุกห้องทำงานท่านรอง ผบ.ตร.ผู้นี้ ในวัย 57 ปี ยิงคำถาม ทำไมคนร้ายที่ก่อเหตุถึงหายต๋อม รวมถึงจุดยืนทางการเมืองของเจ้าตัวในฐานะนายตำรวจใหญ่ที่กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.ต่างชื่นชมว่า “เป็นตำรวจเพียงไม่กี่คนที่พอจะพึ่งได้”
หลักฐานถึงใครจับหมด
พล.ต.อ.เอก เปิดฉากบทสนทนาลำดับถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นว่า หากนับตั้งแต่เหตุการณ์แรก เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2556 ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อกลุ่มนักศึกษาปะทะกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมใกล้กัน วันนั้นมีผู้เสียชีวิตไป 5 คน จากนั้นมาความรุนแรงก็ยกระดับตามมาเรื่อยๆ ทั้งของจริงและของปลอม ตั้งแต่การปาระเบิดใส่บ้านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บ้านผู้ว่าฯ กทม. เหตุปะทะที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ระหว่างตำรวจและ|ผู้ชุมนุม กปปส. จนบาดเจ็บล้มตายทั้งสองฝ่าย กระทั่งมาถึงของหนักอย่างระเบิดเอ็ม 79 ที่ช่วงหลังถูกนำมาใช้งานบ่อยครั้งขึ้น ทั้งการยิงใส่ศาล หรือยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุม แต่ที่ร้ายแรงที่สุดคือการฆ่าเด็กตายไป 4 คน ที่เวทีปราศรัย กปปส.เขาสมิง จ.ตราด และที่หน้าห้างบิ๊กซี สาขาราชดำริ ซึ่งเรื่องนี้ตำรวจยอมไม่ได้เด็ดขาด
คำว่ายอมไม่ได้ของ พล.ต.อ.เอก ทำให้มีคำถามตามมา แล้วคนร้ายอยู่ไหน แล้วทำไมตำรวจไทยที่ฝีมือสุดยอดอย่างนี้ถึงไม่จับกุมเสียที รอง ผบ.ตร.ท่านนี้ ชี้แจงว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. มอบหมายให้ไปคุมคดีทั้งหมดที่เกิดขึ้น จึงได้เซตทีมขึ้นมาโดยดึงตำรวจที่เชี่ยวชาญแต่ละด้านมาทำงานร่วมกัน เช่น พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้ช่วย ผบ.ตร. เอาทีมสืบสวนหาข่าวมาแกะรอย และทีมของ พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี ที่ปรึกษา สบ.10 เข้ามาดูเรื่องหลักฐาน ส่วนตัวมีหน้าที่เข้าไปเร่งรัดติดตาม กำชับให้ตำรวจเร่งทำงาน ภาพรวมทั้งหมดคดีมีความคืบหน้าไปมากแล้ว แต่ที่ไม่มีการจับกุมใดๆ เกิดขึ้น สังคมก็ต้องเข้าใจข้อจำกัดในการทำงานของตำรวจเช่นกัน
“ข้อจำกัดที่ว่าคือ ผมยกตัวอย่างว่ามีการปาระเบิด หรือยิง ทำร้าย ฆ่า กลุ่มผู้ชุมนุมหรือแกนนำ กปปส.จริง สังคมก็ฟันธงแล้วว่าเกิดจากฝีมือของฝ่ายตรงข้ามแน่นอน แต่ตำรวจไปฟันธงแบบนั้นไม่ได้ เพราะต้องเห็นจริง ตามหลักฐานถึงจะกล้าฟันธงและออกหมายจับ ดังนั้นตำรวจต้องพิสูจน์ทราบให้ได้ก่อน ที่ผ่านมาก็มีภาพคนร้าย เราก็ออกหมายจับตามภาพ แต่พอมีภาพออกมาก็มีคำถามตามมาอีกว่า ภาพก็มีแล้วทำไมไม่จับ ผมก็บอกตรงๆ ว่าไม่รู้จริงๆ ว่าหมอนั่นคนตามภาพมันเป็นใคร มันต้องพิสูจน์กันก่อน อีกอย่างไม่มีคนร้ายที่ไหนมายืนรอให้ตำรวจจับอยู่แล้ว มันต้องล่าต้องหา ถึงเป็นที่มาของคำว่าตำรวจจับโจร
...ตำรวจตามจับแน่นอน ผมยืนยันได้ เพราะคดีความมันมีอายุของมัน ทุกคดีผมให้ความสำคัญหมด เร่งรัดทุกอย่างทุกทาง และ ผบ.ตร.สั่งให้ปฏิบัติอย่างยุติธรรมทุกฝ่ายเป็นไปตามกฎหมายและคำว่าตำรวจมืออาชีพ ดังนั้นเราไม่อยู่ข้างใครแน่นอน แต่ตำรวจอยู่ข้างความถูกต้อง”
พล.ต.อ.เอก ยอมรับว่า หลายคดีอาจไม่รวดเร็วทันใจนัก เพราะบางคดีต้องใช้เวลาสืบสวนสอบสวนหาตัว แต่ที่พูดไปทั้งหมดไม่ใช่มาแก้ตัว ข้อมูลบางอย่างที่อยู่ในมือตำรวจไม่สามารถเปิดเผยออกสู่สาธารณชนได้ เพราะต้องระมัดระวังในการให้ข่าว เพื่อไม่ให้กระทบกับการติดตามจับกุมคนร้าย ดังนั้นความกดดันที่ถาโถมเข้าสู่ตำรวจก็มีแน่นอน แต่รู้ดีว่าสังคมก็อยากรู้อยู่ทุกวันว่าคดีไปถึงไหนแล้ว ตำรวจทำงานหรือไม่ บอกได้ว่าตำรวจทำงานทุกวันไม่ได้หายไป แต่ตำรวจก็ตอบคำถามไม่ได้ทุกวันเช่นกัน
“บอกได้เลยว่าทุกคดีรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คนร้ายหนีไปประเทศเขมรหมดแล้ว ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหนีไปประเทศนี้ หรือเป็นเพราะเขา (คนร้าย) รู้ว่าตำรวจจับไม่ได้จนกว่าจะกลับเข้ามาประเทศไทย แต่ผมมั่นใจว่าพวกที่หนีไปต่างประเทศต้องกลับเข้ามาแน่นอน สุดท้ายมันก็จะทนไม่ไหว คิดถึงบ้าน อยู่ไม่ได้หรอกที่ต่างประเทศ เผลอๆ ไปแล้วยังคิดถึงขอมอบตัวกลับมาติดคุกในประเทศไทยดีกว่า ถึงกระนั้นถ้าเหยียบเข้าแผ่นดินไทย ตำรวจจะจับกุมแน่นอน”รอง ผบ.ตร.ที่รับผิดชอบงานป้องกันปราบปราม ย้ำ
“บิ๊กเอก” ยืนยันว่า ทำทุกคดีที่เกิดขึ้นกับทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทั้งผู้ชุมนุมและกลุ่มที่เห็นต่าง ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมจะเป็นใคร หรือใหญ่จากไหน ขอให้ประชาชนเชื่อใจได้
“ตราบที่ผมยังอยู่ที่จุดนี้ ตำแหน่งนี้ ยืนยันด้วยความเป็นมืออาชีพว่าจะจับทุกคดี ผมก็มีความรู้สึกเช่นกัน ไม่ต่างจากคนในสังคม คุณไม่ต้องมาถามผมหรอกว่าเกิดเหตุแล้วจับกุมได้หรือยัง แม้แต่เมียผม ครอบครัวผมยังถามอยู่ทุกวันว่าไปตรวจที่เกิดเหตุทุกครั้ง ออกสื่อบ่อยๆ จับกุมใครได้บ้างหรือยัง ทุกคนถามหมด เพราะรู้สึกอย่างเดียวกันหมด ผมก็เป็นประชาชนทั่วไป มีความรู้สึกร่วมเช่นกันว่าทำไมมันใจร้ายจัง ไปยิงเขา ไปฆ่าเด็ก แน่นอนในฐานะประชาชนผมมีความรู้สึกร่วม แต่ในฐานะตำรวจผมก็ต้องจับกุมตามหน้าที่ให้ได้
อย่าเหมาว่าตำรวจเลว
“ในหน้าที่รับผิดชอบ ผมเองในฐานะตำรวจอาชีพก็จะทำเต็มที่ แม้การทำงานบางอย่างอาจจะมีข้อจำกัดก็ตาม เช่น ตำรวจไปทำคดีแล้วอีกฝ่ายเกิดความไม่พอใจ นี่ก็คือข้อจำกัด แต่สำหรับผมเองมีจิตวิญญาณความเป็นตำรวจอยู่เต็มเปี่ยม หากต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่มันมีผลร้ายที่กระทบกับตัวเองตามมา ทั้งชีวิต หน้าที่การงาน แต่เมื่อมันเป็นความถูกต้องตามกฎหมาย ผมก็จะทำ เพราะนี่คือความสำนึก ผมไม่ได้กลัวเลย”
พล.ต.อ.เอก ระบุว่า หากเป็นตำรวจแล้วมากลัวภัยที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ห่วงความสงบสุขของพี่น้องประชาชนก็อย่ามาเป็นเลยกับอาชีพตำรวจ เพราะเมื่ออาสามาแล้ว มีศักดิ์ศรีที่ต้องปกป้องประชาชน มันต้องมีความรู้สึกความรับผิดชอบในการทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ถึงแม้จะมีคำด่าจากผู้ชุมนุมมาก็ตามว่าเป็นขี้ข้าของใคร ก็ต้องอดทน
ถามว่ามีจริงหรือไม่อย่างที่ผู้ชุมนุมเขาด่า มันก็มีจริงอยู่แล้ว แต่ตำรวจเลวเพียงคนเดียวไม่ใช่ว่าตำรวจทั้งหมดจะเลวตามไปด้วย มันเลวเฉพาะคนนั้นเท่านั้น
“ตัวผมเองมีพรรคพวกอยู่ที่สองฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นคนที่สนับสนุนการชุมนุมหรือคัดค้านเองก็ตาม แต่หากพรรคพวกของผมทำผิด ผมก็ต้องจับกุมเช่นกัน มาขอกันไม่ได้ อีกทั้งตำรวจเข้าใจหัวอกของพี่น้องประชาชน ไม่อยากให้เกิดความสูญเสียไม่ว่าฝ่ายไหนก็ตาม ตำรวจก็พยายามวางมาตรการป้องกัน แม้แต่ตัวผมเองเป็นตำรวจใหญ่ก็มากินมานอนทำงานตลอดเวลาเหมือนกัน”
พล.ต.อ.เอก ระบุอีกว่า กรณีที่ กปปส.มองว่าเป็นตำรวจเพียงไม่กี่คนที่พอจะพึ่งได้นั้น ขอยืนยันว่าใครจะเห็นอย่างไรก็ว่ากันไป แต่ในฐานะเป็นข้าราชการประจำ ไม่ว่าใครก็ตามต่างก็พากันหวังให้ตำรวจทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ รักษาความสงบสุขของสังคม ไม่ใช่จะต้องไปอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
“พูดกันตรงๆ ตำรวจบางคนไปใกล้ชิดฝ่ายการเมือง แต่ด้านหนึ่งก็มองเป็นเรื่องงานทั้งนั้น ในหลักการของตำรวจคือต้องไม่อยู่กับใคร ไม่ว่าฝ่ายไหน ต้องให้ความเป็นธรรม ถ้า กปปส.ทำผิด ผมก็ต้องดำเนินคดี ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามหรือรัฐบาลทำผิด ผมก็ต้องดำเนินคดีไม่ต่างกัน ตำรวจก็ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน
“เรื่องนี้ก็ได้ยินมาเหมือนกัน มันเข้าหู มีการวิเคราะห์ไปต่างๆ นานา ส่วนผมตั้งแต่เติบโตมาเป็นผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็มีความรู้จักมักคุ้นกันตามปกติในสังคมไทยกับผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ทุกฝ่าย แต่แน่นอนเพื่อนทำผิดก็ต้องจับกุม ผมไม่อยากบอกว่าคนที่ออกหมายจับไป ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนผมทั้งนั้น แต่ผมก็ต้องทำหน้าที่ ขณะที่ความสัมพันธ์ของเพื่อนก็ยังอยู่”
กระนั้น พล.ต.อ.เอก ก็ขอสะท้อนความรู้สึกของตำรวจไปยังกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.ว่า ผบ.ตร.เน้นย้ำผู้ชุมนุมไม่ใช่ศัตรูของตำรวจ บอกผู้ใต้บังคับบัญชาตลอดว่าเขามาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ หากไม่ผิดกฎหมายก็ทำได้ แต่ก็มีผู้ชุมนุมบางส่วนเอาปืนไล่ยิงตำรวจ ทั้งมือปืนป๊อปคอร์น หรือที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ การตอบโต้มันก็รุนแรงและสุดท้ายตำรวจก็ตาย
ต้องเลิกระบบ “พี่ให้ พ่อให้ น้องให้”
การปฏิรูปตำรวจ ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียง และเป็นหนึ่งในวาระของกปปส. ที่ต้องผลักดันหากมี “รัฐบาลปฏิรูป”เข้ามาทำงาน พล.ต.อ.เอก เห็นด้วยที่ต้องมีการปฏิรูปขนานใหญ่กับวงการสีกากี
รองผบ.ตร.ท่านนี้ พูดอย่างน่าสนใจว่า การปฏิรูปตำรวจในใจมีอยู่ 3 ประเด็น 1.ตอบโจทย์ในสิ่งที่ถูกกล่าวหามาโดยตลอด คือ
ทำอย่างไรให้ตำรวจออกจากการเมือง ไม่ใช่เป็นความเห็นของผมเพียงคนเดียว แต่มีนักวิชาการเคยเสนอไว้และส่วนตัวก็เห็นด้วย คือ อำนาจการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ขณะนี้เป็นอำนาจเด็ดขาดอยู่ที่นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ดังนั้นต้องมีการปรับเปลี่ยน เพราะเรื่องนี้ถูกหยิบยกมาโดยตลอดว่า “การเมืองเป็นคนแต่งตั้งตำรวจขึ้นมาทำงาน” ทำให้อยู่ภายใต้การเมืองไม่สิ้นสุด ที่สำคัญประเทศไทยไม่ได้มีรัฐบาลที่ทำหน้าที่อย่างยาวนาน เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลไป ก็ต้องมีการตั้งตำรวจขึ้นใหม่อีก ดังนั้น อำนาจนี้ควรถูกจับระบบใหม่เสียที เพื่อกันตำรวจออกจากการเมือง
2.มีแนวทางการปฏิรูปตำรวจที่เคยวางกันไว้ในยุคของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ซึ่งผมเองก็ได้อยู่ในคณะกรรมการชุดนั้นด้วย โดยมีการเสนอปัญหาและทางแก้เรื่องคอรัปชั่น ด้านกฎหมาย การวางมาตรฐานของตำรวจไทย
3.การปฏิรูปตำรวจของกปปส.ที่มีการพูดกัน ตามหลักการหลายคนก็เห็นด้วยว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามรูปแบบสังคมที่เปลี่ยนไป โดยปรับปรุงองค์กรให้ดียิ่งขึ้น แต่ตำรวจเป็นหน่วยงานที่ใหญ่ การปรับเปลี่ยนอาจจะยาก แม้แต่เรื่องบำบัดทุกข์บำรุงสุขยังไปคนละทาง ตำรวจบางคนยังแข่งกัน แย่งกันเป็นใหญ่เป็นโต หลายสิ่งหลายอย่างจะต้องมีการปฏิรูป เพราะตำรวจเป็นข้าราชการที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด
“ไม่ใช่แต่เฉพาะตำรวจอย่างเดียวที่ต้องปฏิรูป หากปฏิรูปตำรวจก็ต้องไปสอดคล้องกับภาคส่วนอื่นๆ ด้วย ยกตัวอย่าง ทุกคนอยากได้ตำรวจดีได้มาตรฐาน แต่ถามว่า มีเงินจ้างมาตรฐานที่ดีหรือไม่ เอาเข้าจริง เงินเดือนเพียงเท่านี้ตำรวจก็อยู่ไม่ได้แล้วในแต่ละเดือน ดังนั้นค่าตอบแทนจึงต้องมีความสำคัญเช่นกัน และจะส่งผลไปถึงการหยุดคอรัปชั่นได้
“ทั้งหมดที่ผมบอกไปเป็นข้อเสนอแนะส่วนตัว อาจจะทำไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ต้องทำไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลอย่างไรก็ตาม รวมถึงไอ้คำว่า “พี่ให้ พ่อให้ น้องให้” ก็ต้องหมดออกไปจากสังคมตำรวจเสียที ไม่เช่นนั้น ตำรวจก็ยังอยู่ในรูปแบบเดิม กรอบเดิมๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง”พล.ต.อ.เอก ทิ้งท้าย
"ไม่หวังถึงผบ.ตร."
แล้วใครจะมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนที่ 10 ต่อจาก “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือน ก.ย.นี้?
“บิ๊กเอก” พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) นายตำรวจมือดี มีโอกาสลุ้นขึ้นเป็นเจ้าของรหัส “พิทักษ์ 1” เพราะอาวุโสลำดับหนึ่ง ทั้งยังมีแรงหนุนจากสัญญาณพิเศษ สนิทสนมนักการเมืองทั้งสองฟาก โดยเหลืออายุราชการก่อนเกษียณกว่า 2 ปี คือ ปี 2559
พล.ต.อ.เอก เชี่ยวชาญงานด้านสอบสวน แม่นยำข้อกฎหมาย ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีความขัดแย้งกับฝ่ายใด และยังมีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมกับ ผบ.ตร.คนปัจจุบันด้วย เพราะพักอาศัยอยู่หมู่บ้านเดียวกันในเขตประเวศตั้งแต่เยาว์วัย ไปมาหาสู่กันมาโดยตลอด
นอกจากนี้ วงการสีกากีกำลังจับตา “บิ๊กตำรวจในรั้วปทุมวัน” ตัวเต็งอีก 3 คน ว่าใครจะเป็นผู้เข้าวิน ผบ.ตร.คนถัดไป
หนึ่งคือ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. (นรต.31) จะเกษียณอายุราชการปี 2558 มือประสานสิบทิศเข้ากับสายการเมืองทุกขั้ว คลุกคลีอยู่ในวงการการเมืองมายาวนาน สนิทสนมกับ เนวิน ชิดชอบ กระนั้นก็มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร. รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ อย่าง นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ยังแนบแน่นกับสายทหารอย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.
อีกหนึ่งคือ “บิ๊กย้อย” พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. (นรต.30) เกษียณอายุราชการปี 2558 ถือเป็นตำรวจสายสืบสวนปราบปราม มีความสนิทสนมกับ “จับกัง 1” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รวมถึงนายใหญ่ดูไบ และเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ “บิ๊กแจ๊ด” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.
ที่เต็งหาม คือ “บิ๊กจูดี้” พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. (นรต.31) เกษียณอายุราชการปี 2559 ถนัดงานด้านมวลชน สนิทแนบแน่นกับนายใหญ่ที่ดูไบ และนายกรัฐมนตรี รวมถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทย และยังลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.สังกัดพรรคเพื่อไทยมาแล้ว
หากการเมืองไม่เปลี่ยนขั้ว เชื่อว่าทั้งบิ๊กย้อย และบิ๊กจูดี้ มีโอกาสขึ้น ผบ.ตร. คุมกำลังนายตำรวจกว่า 2 แสนนาย
แต่เมื่อยิงคำถามไปยัง พล.ต.อ.เอก ว่ามีความหวังในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือไม่?
นายตำรวจมือปราบคนนี้ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ไม่หวังกับตำแหน่ง ผบ.ตร. และไม่คิดว่าจะเป็นหนึ่งในแคนดิเดต เนื่องจากไม่ใช่นักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) เพียงแต่รับราชการตำรวจมากว่า 38 ปี ยังเหลืออายุราชการอีกประมาณ 2 ปี 6 เดือน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด จะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด สิ่งที่คิดมากในขณะนี้ คือ จะทำอะไรเพื่อองค์กรตำรวจ เพื่อตอบแทนชดใช้หนี้ที่ให้ตนเองมีชีวิตครอบครัวที่ดี ความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน รวมถึงได้สังคมรอบข้างที่ดีมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มรับราชการมา คิดเพียงอย่างเดียวว่าอยากเป็นตำรวจทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ดูแลรับใช้ประชาชน เพราะเห็นการทำงานของตำรวจตั้งแต่เยาว์ จึงฝังใจในอาชีพนี้
“ข่าวที่ว่าผมจะขึ้นมาเป็น ผบ.ตร.คนต่อไปนั้น ในฐานะที่มีลำดับอาวุโสมากที่สุด การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ ผมก็ต้องถูกจับตามองตามปกติ แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้มีอำนาจในการตัดสินใจด้วยเหตุด้วยผล ว่าใครจะเหมาะสมเพียบพร้อมในตำแหน่งนี้” พล.ต.อ.เอก กล่าว
นั่นเป็นความรู้สึกจากคำพูดของ “บิ๊กเอก” ถึงอนาคตที่ต้องลุ้นในอีกไม่กี่เดือนนี้
ย้อนกลับไปดูเส้นทางสีกากีของ พล.ต.อ.เอก ที่ถือว่าเป็นนายตำรวจที่เติบโตเร็วคนหนึ่ง เจ้าตัวเล่าว่า เพราะความรักในอาชีพนี้ จึงมุ่งมั่นตั้งใจตั้งแต่หนุ่ม สมัยเป็นรองสารวัตร (สว.) ได้ใช้ชีวิตกินนอนทำงานที่โรงพักมาตลอด พอมาเป็นพนักงานสอบสวนได้เรียนรู้งานด้านต่างๆ อย่างเนื่อง ตื่นเช้ามาทำงานก็โบกรถ ตกดึกออกจับคนร้าย
ด้วยความมุมานะทำงาน ทำให้เข้าตานายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ไว้ใจ เรียกไปใช้งาน เป็นโอกาสที่ได้แสดงความสามารถออกมา
“บางทีจังหวะชีวิตที่ไม่คิดไม่ฝัน ก็เมื่อตอนได้ติดยศ พ.ต.อ. เพียงอายุ 30 ปีต้นๆ เท่านั้น ก่อนจะก้าวขึ้นติดยศชั้นนายพลในช่วงอายุประมาณ 40 ปี โดยเป็นนายตำรวจติดตาม พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตอธิบดีกรมตำรวจคนสุดท้าย ท่านเห็นว่าพี่น่าจะมีอนาคต ก็ฝึกฝนสอนงานทุกด้าน ทั้งยังมีอดีตผู้บังคับบัญชาอีกหลายท่านคอยให้โอกาสสนับสนุนผลักดันเราจนมาถึงจุดนี้” บิ๊กเอก กล่าวใบหน้าอมยิ้ม
เมื่อดูประวัติการทำงานและการศึกษา จนก้าวมาเป็นนายตำรวจใหญ่ ทั้งที่ไม่ได้จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ก็น่าสนใจไม่น้อย
พล.ต.อ.เอก จบการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 1) มหาวิทยาลัยรามคำแหง เนติบัณฑิตไทย สำนักศึกษาอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา และนิติศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังศึกษาหลักสูตรทางกฎหมายอีกมากมายหลายสิบหลักสูตร อาทิ หลักสูตรการสืบสวนสอบสวนคดีอาญา รุ่น 50 โรงเรียนสืบสวน กรมตำรวจหลักสูตรนักการปกครองระดับสูง(นปส.) รุ่นที่ 34 วิทยาลัยการปกครอง หลักสูตรหลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย (นธป.) รุ่นที่ 1 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ
ส่วนงานรับราชการตำรวจของ “บิ๊กเอก” ผ่านสนามมาอย่างโชกโชน ทั้งบู๊และบุ๋นครบเครื่อง ตำแหน่งแรกที่ได้ทำ รองสารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสงขลา จนเติบโตในหน้าที่สายงานอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสได้นั่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ก่อนขยับขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และก้าวขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน
สิ่งที่ “รองเอก” ภูมิใจอย่างยิ่งก็คือ การได้รับมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2553 ซึ่งถือเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดที่ได้รับ
พล.ต.อ.เอก กล่าวว่า ในอาชีพตำรวจได้ทำมาทั้งหมด ตั้งแต่สมัยอยู่โรงพักก็คลุกคลีกับประชาชนตลอดมา สิ่งสำคัญการเป็นตำรวจต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ไปขอตำแหน่งใคร เพื่อไม่ให้ใครมาด่าว่าเราลับหลัง ไปไหนมาไหนก็มีคนชื่นชม แต่หากไม่มีความรู้ความสามารถก็ไม่ภาคภูมิใจ นั่นเป็นความสง่างามของคำว่า “ตำรวจมืออาชีพ”
“บิ๊กเอก” กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ คือ ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ เพราะตำรวจไทยเกษียณอายุราชการ 60 ปี ส่วนตำรวจต่างประเทศอายุราชการ 55 ปี สภาพร่างกายจึงสำคัญ เพราะอาชีพตำรวจหนัก ต้องระวังเรื่องสุขภาพไม่ให้เหนื่อยง่าย


