posttoday

ปฏิวัติประชาชนสูตรไทยแลนด์โอนลี่

10 มีนาคม 2557

เงื่อนไขต่างๆ ทั้งในด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ แสดงให้เห็นว่าการเมืองได้เข้าสู่ทางตัน และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยระบบ-กติกาที่มีอยู่

โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

“ปฏิวัติประชาชน” นับเป็นเป้าหมายต่อสู้สำคัญของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เพื่อโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งตลอดกว่า 100 วันที่ผ่านมา สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. มักตอกย้ำเสมอว่าการต่อสู้ของตัวเองและมวลมหาประชาชนถือเป็นการปฏิวัติประชาชนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

วิธีการของการปฏิวัติประชาชนในมุมของ กปปส. คือ การให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งเพื่อให้การเมืองเกิดสุญญากาศ อันนำไปสู่การใช้อำนาจของประชาชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 ที่บัญญัติว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” จากนั้นจะใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 7 เพื่อจัดตั้งรัฐบาลและสภาของประชาชน เปรียบเสมือนหนึ่งการกระทำรัฐประหารและการได้อำนาจ รัฏฐาธิปัตย์ของกองทัพ เพียงแต่แนวคิดของ กปปส.เป็นการยึดอำนาจรัฐบาลโดยกำลังของประชาชนไม่ใช่ทหาร

ทั้งนี้ โมเดลการต่อสู้ของ กปปส. ได้ถูกเถียงทั้งในมิติรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์มาตลอดว่า จะสามารถเป็นไปได้ในทางปฏิบัติหรือไม่ เนื่องจากจะว่าไปแล้วประเทศไทยเองก็ไม่เคยผ่านการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เรียกว่า “การปฏิวัติประชาชน” มาก่อน แม้จะมีเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 ที่อาจมองได้ว่าใกล้เคียงกับการปฏิวัติประชาชน แต่ในแวดวงวิชาการก็ยังมีความเห็นไม่ตรงกันว่าเป็นการปฏิวัติโดยประชาชนจริงหรือไม่

ด้านมิติทางรัฐศาสตร์ อรรถสิทธิ์ พานแก้ว อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกถึงหลักของการปฏิวัติประชาชนว่า การปฏิวัติประชาชนต้องมีจุดเด่นสำคัญ คือ ทุกคนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ สื่อสารมวลชน ทหาร และประชาชน ต้องเห็นพ้องต้องกันหมด จึงจะทำให้สามารถเคลื่อนต่อไปได้ เช่น การปฏิวัติประชาชนในเยอรมนีตะวันออก แต่ในประเทศไทยยังไม่อาจเกิดได้ขนาดนั้น เพราะยังมีกลุ่มคนที่เห็นต่างอยู่พอสมควร

“เมื่อพูดถึงการปฏิวัติแล้ว กฎหมายก็ไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องอ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 3 หรือมาตรา 7 เพราะหากจะปฏิวัติและเอาคนทุกคนในสังคมเข้าร่วมจริงๆ กฎหมายไม่จำเป็นก็ได้ อย่างไรก็ตาม ในสภาวะที่สังคมไม่ได้เห็นไปในแนวทางเดียวกันหมด การปฏิวัติประชาชนจึงเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ดังนั้นวิธีการปฏิรูปประเทศขณะนี้ต้องผ่านการตัดสินในเชิงประชาธิปไตย และต้องถามประชาชนทั้งประเทศผ่านการเลือกตั้งในที่สุด ส่วนวิธีปฏิวัติประชาชนของ กปปส.นั้น อาจจะทำได้จริง แต่ที่สุดแล้วเสี่ยงต่อความไม่ยั่งยืนอย่างแน่นอน”อรรถสิทธิ์ กล่าว

ขณะที่ความเป็นไปได้ในทางนิติศาสตร์ เสรี สุวรรณภานนท์ อดีตรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 (ส.ส.ร.) มั่นใจว่าสามารถเป็นจริงได้ หากที่สุดแล้วการเมืองไทยเดินมาถึงทางตันในรูปแบบที่รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติทางออกและทางแก้ไขปัญหาเอาไว้ แต่การจะทำให้เป็นจริงนั้นต้องผ่านการตกผลึกจากทุกฝ่ายเสียก่อน

“ถ้าในอนาคตเมื่อไม่มีนายกรัฐมนตรีด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ในระหว่างที่ยังไม่มีสภาผู้แทนราษฎร เท่ากับว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 7 ที่ระบุว่า ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งที่ผ่านมาในอดีตก็เคยมีนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมาแล้ว จึงคิดว่าการมีนายกฯ ตามมาตรานี้สามารถทำได้ โดยยึดประเพณีการปฏิบัติที่เคยทำกันมา”เสรี แสดงความเห็น

ตรงกันข้ามกับ ประพันธ์ นัยโกวิท อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 และอดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารการเลือกตั้ง ซึ่งเห็นแย้งว่า การตั้งรัฐบาลและสภาประชาชนโดยอาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 3 และ 7 ไม่มีทางดำเนินการได้ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เนื่องจากรัฐธรรมนูญได้ระบุถึงการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีและสภาเอาไว้อย่างชัดเจน จึงคิดว่าจะให้วุฒิสภาเป็นผู้เสนอชื่อบุคคลขึ้นมาเป็นนายกฯ นั้นคงจะทำไม่ได้

“ถามว่าใครเป็นผู้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี แม้รัฐธรรมนูญบัญญัติว่าระหว่างไม่มีสภาผู้แทนราษฎรให้วุฒิสภาทำหน้าที่ได้ แต่อย่าลืมว่าวุฒิสภาเองมีอำนาจหน้าที่จำกัด เพียงแค่การแต่งตั้งหรือถอดถอนในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐธรรมนูญเขียนชัดอย่างนี้คงจะไปฝ่าฝืนไม่ได้ เช่นเดียวกับการตั้งสภาประชาชนเพื่อเข้ามาทำหน้าที่ตรากฎหมายก็ไม่สามารถทำได้ เพราะสภาผู้แทนราษฎรต้องมาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญกำหนด แต่หากเป็นรูปแบบของการรวมตัวเพื่อนำเสนอความคิดเห็นและเสนอให้องค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการแก้ไขแบบนี้สามารถทำได้”

จากความคิดเห็นดังกล่าวทั้งหมด เงื่อนไขต่างๆ ทั้งในด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์แล้ว แสดงให้เห็นประการหนึ่งว่าการเมืองได้เข้าสู่ทางตัน และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยระบบและกติกาที่มีอยู่ สถานการณ์เช่นนี้จึงเอื้อต่อการให้เกิดรัฐประหารเป็นอย่างยิ่ง

ข่าวล่าสุด

"ธรรมนัส” เผย 25 ธ.ค.นี้ กล้าธรรมเปิดตัวสส.ทั้งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์