posttoday

การริบทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดๆที่ได้มาจากการกระทำทำความผิด

21 กุมภาพันธ์ 2557

การกระทำความผิดอาญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดเกี่ยวกับทรัพย์และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ผู้กระทำความผิดส่วนใหญ่มุ่งประสงค์ต่อทรัพย์สินหรือประโยชน์ (Proceeds of crime) ที่ตนจะได้มาจากการกระทำความผิด

การกระทำความผิดอาญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดเกี่ยวกับทรัพย์และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ผู้กระทำความผิดส่วนใหญ่มุ่งประสงค์ต่อทรัพย์สินหรือประโยชน์ (Proceeds of crime) ที่ตนจะได้มาจากการกระทำความผิด

ในการกระทำความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ ผู้กระทำความผิดมักมุ่งหมายให้ตนได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยตรง เช่น การลักทรัพย์ การปล้นทรัพย์ การยักยอกทรัพย์ การฉ้อโกง เป็นต้น

เมื่อได้มาแล้วก็แปลกที่มักจะนำไปใช้จ่ายโดยตรงในทางวิบัติต่างๆ ไปดื่มสุรา ซื้อยาเสพติด เล่นการพนัน ใช้หนี้การพนัน ฯลฯ หากพอจะมีเหลือก็จะนำไปแปลงสภาพเป็นเงิน ทอง หรือทรัพย์สินอื่น แล้วมอบให้ญาติหรือบริวารถือทรัพย์สินนั้นไว้แทน

แต่การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ผู้กระทำความผิดมักจะมุ่งหมายให้ตนได้รับ “ประโยชน์ตอบแทน” จากการกระทำหรือละเว้นกระทำการใดๆ อันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของตน โดยประโยชน์ตอบแทนนี้มีทั้งประโยชน์ตอบแทนในรูปตัวเงินหรือทรัพย์สินอื่น และประโยชน์ตอบแทนที่มิใช่ตัวเงิน

สำหรับประโยชน์ตอบแทนที่เป็นตัวเงินนั้นคงพบเห็นกันอยู่เป็นประจำจนหลายคนคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว เช่น การจ่ายเงินหยอดน้ำมันให้การอนุมัติต่างๆ หรือจ่ายสินน้ำใจเจ้าหน้าที่ให้งานรวดเร็ว หรือการเรียกค่าปรับโดยไม่มีใบสั่งตามท้องถนน เป็นต้น

ส่วนประโยชน์ตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงินมักแอบแฝงมาในรูปแบบอื่นที่มี “มูลค่า” ที่คลาสสิกมากๆ และทำกันจนเป็นประเพณีปฏิบัติไปแล้ว คงไม่แคล้วการสะสมไมล์เดินทางของสายการบินเข้าบัญชีสะสมไมล์ของตัวเองทั้งๆ ที่เดินทางไปราชการและด้วยเงินงบประมาณของทางราชการ (แต่ไปแล้วอาจไม่ได้เข้าประชุมหรือประชุมเดี๋ยวเดียว)

บางคนสะสมไมล์ได้จำนวนมากจนสามารถใช้เลาจ์ VIP ของสายการบินได้ ที่สามารถแลกตั๋วฟรีไปเที่ยวต่างประเทศได้ก็มากมาย (ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สายการบินแห่งชาติขาดทุนด้วยหรือไม่)

ส่วนประโยชน์ตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงินรูปแบบอื่นก็เช่น การที่คู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐหรือผู้ที่เคยได้ทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐมอบพระเครื่องหายากให้เป็นของขวัญแก่ผู้มีอำนาจอนุมัติโครงการ หรือมีอำนาจสั่งซื้อสั่งจ้าง หรือการที่นิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจต่างๆ มอบหุ้นลมให้แก่นักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง หรือแต่งตั้งนักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงเป็นกรรมการหรือประธานกรรมการของนิติบุคคลนั้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายมีความเกรงใจ หรือเพื่อ “เคลียร์” ข้อขัดข้องต่างๆ ให้แก่ตน

เคยมีคนพูดเข้าหูว่าบางที่คู่สัญญากับหน่วยงานรัฐ หรือผู้ที่เคยได้ทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐถึงกับ “เชิญ” หรือเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงาน หรือคณะกรรมการตรวจรับพัสดุพร้อมครอบครัวไป “ดูงาน” ต่างประเทศโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยกินอยู่ฟรี ซื้อของขวัญให้ รวมทั้งออกรอบตีกอล์ฟฟรีด้วย!!!!

ในทางกฎหมายไม่ว่าจะระบบกฎหมายใด ถือว่าบรรดาทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดโดยตรง หรือที่เรียกในทางเทคนิคว่า “ทรัพย์สินสกปรก” (Tainted property) นั้น หากยังมีตัวทรัพย์สินนั้นอยู่ ถือเป็นทรัพย์สินที่ต้องริบ (Shall be confiscated) เพื่อมิให้ผู้กระทำความผิด ตลอดจนญาติพี่น้อง และวงศ์วานว่านเครือ คนเหล่านี้แสวงหาประโยชน์จากทรัพย์สินเหล่านี้ได้

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ถ้าผู้กระทำความผิดแปลงสภาพทรัพย์สินสกปรกนั้นไปเป็นแก้วแหวนเงินทอง หรือทรัพย์สินอื่นแล้วมอบให้ญาติโกโหติกาหรือบริวารยึดถือทรัพย์สินนั้นไว้ก็ดี หรือผู้กระทำความผิดได้มาซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์ตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงิน และแอบแฝงมาในรูปแบบต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นก็ดีจะทำอย่างไร? หรือได้บริโภคประโยชน์ตอบแทนดังกล่าวไปแล้วจะทำอย่างไร? เช่น เขาพาไปเที่ยวต่างประเทศมาแล้ว กินข้าวเขาไปแล้ว เป็นต้น

ในกรณีเช่นนี้นักกฎหมายทั่วโลกเห็นตรงกันว่าต้องริบทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดและบุคคลที่เกี่ยวข้องตาม “มูลค่า” ของทรัพย์สินที่ได้มาแทนทรัพย์สินสกปรกหรือประโยชน์ที่ตนได้รับมาด้วย (Valuebase confiscation) ซึ่งนอกจากจะเป็นไปเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดแล้ว ยังเป็นไปเพื่อมิให้ผู้กระทำความผิด ตลอดจนญาติพี่น้องและวงศ์วานว่านเครือของคนเหล่านี้ สามารถเสพสุขจากทรัพย์สิน หรือประโยชน์ที่ได้มาโดยมิชอบได้อีกต่อไป

กล่าวคือ หากศาลพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิด กฎหมายให้อำนาจแก่ศาลที่จะพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามมูลค่าที่เท่ากับมูลค่าของทรัพย์สิน หรือประโยชน์ที่ได้มาโดยมิชอบเหล่านี้ หากว่าไม่มีตัวทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นอยู่ในขณะที่ศาลมีคำพิพากษาให้ริบ

สำหรับกฎหมายไทยนั้น มาตรา 18 (5) แห่งประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติว่าการริบทรัพย์สินเป็นโทษทางอาญา ซึ่งมาตรา 33 (2) แห่งประมวลกฎหมายอาญา ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สิน ซึ่งบุคคลได้มาโดยการกระทำความผิดด้วย

ทั้งนี้ เพื่อมิให้ผู้กระทำความผิด ญาติบริวาร และวงศ์วานว่านเครือของผู้กระทำความผิดได้รับประโยชน์ใดๆ จากทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด และแม้กฎหมายบัญญัติให้ริบ “ทรัพย์สิน” อันมีความหมายครอบคลุมทั้งทรัพย์ที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง

แต่โดยที่มาตรา 35 บัญญัติว่าทรัพย์สิน ซึ่งศาลพิพากษาให้ริบให้ตกเป็นของแผ่นดิน และต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ 1587/2505 และคำพิพากษาฎีกาที่ 804/2520 วางบรรทัดฐานไว้ว่า การริบทรัพย์สินนั้นทรัพย์สินที่จะริบต้องมีตัวอยู่ ไม่ว่าจะยึดเอามาเป็นของกลางแล้วหรืออยู่ที่อื่น ถ้าทรัพย์สินที่จะริบนั้นไม่มีตัว เช่น ถูกทำลายหรือสูญหายไปจะสั่งริบไม่ได้ เพราะไม่อาจตกเป็นของแผ่นดินได้

จึงมีช่องว่างทำให้ศาลไม่มีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินที่ได้มาจากการทำความผิดที่มีการซุกซ่อน หรือยักย้ายถ่ายเทไปแล้วได้ ยิ่งไม่ใช่ตัวเงินก็ยิ่งแล้วใหญ่ เนื่องจากไม่มีตัวทรัพย์เหลือให้ริบ ช่องว่างนี้จึงทำให้ผู้กระทำความผิด ญาติพี่น้อง และเครือข่ายของผู้กระทำผิดยังคงได้รับประโยชน์นั้นอยู่ต่อไป

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น เมื่อผู้กระทำความผิดได้มาซึ่งทรัพย์สินสกปรก จึงมักยักย้ายถ่ายเทหรือแปลงสภาพทรัพย์สินนั้นเพื่อมิให้ริบได้ อันทำให้ญาติพี่น้องและวงศ์วานว่านเครือยังคงได้รับประโยชน์ ซึ่งไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ตามประมวลกฎหมายอาญาที่ไม่ต้องการให้บุคคลเหล่านี้เสพสุขจากทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่ได้มาโดยมิชอบเหล่านี้ได้อีกต่อไป

ในปี 2552 รัฐบาลในขณะนั้นได้มีหนังสือที่ นร 0503/4582 ลงวันที่ 17 มี.ค. 2552 เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่...) พ.ศ..... (เพิ่มเติมหลักเกณฑ์การริบทรัพย์สิน และเพิ่มวิธีริบทรัพย์สินตามมูลค่า) ต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ศาลมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้บรรดาที่บุคคลใดได้มาจากการกระทำความผิด และที่ได้มาจากการจำหน่าย จ่าย โอน ด้วยประการใดๆ

น่าเสียดายนักหลังจากได้เสนอร่างกฎหมายนี้ต่อสภาก็มีการยุบสภา ทำให้ร่างกฎหมายนี้ตกไป

ข่าวล่าสุด

ชายแดนไทย–กัมพูชาปะทะเดือด เกมอำนาจยืดเยื้อข้ามปีใหม่