คำตอบของความรัก
ในโลกสีชมพูแห่งรักที่มีอะไรค้างคาใจมากมาย นักวิทยาศาสตร์มีเหตุผลมาอธิบายให้เราเข้าใจรักมากขึ้น
โดย...รักฉัตร เวทีวุฒาจารย์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
ในโลกสีชมพูแห่งรักที่มีอะไรค้างคาใจมากมาย นักวิทยาศาสตร์มีเหตุผลมาอธิบายให้เราเข้าใจรักมากขึ้น ซึ่งแม้ว่าจะฟังแล้วไม่ได้อารมณ์ ไม่โรแมนติกแต่จะพบว่ามันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในตัวเรา โดยมีเราเป็นผู้กระทำทั้งสิ้น
พฤติกรรมรักกับฮอร์โมนที่พุ่งพล่าน
ห้วงความรักของคนเราแบ่งเป็น 3 ช่วง โดยจะมีฮอร์โมนที่แตกต่างกันมาร่วมแสดงบทบาท ในช่วงแรกของโลกแห่งรัก เป็นช่วงที่เราอยากได้ อยากมีเกิดอาการชอบ ถูกใจ นั่นเป็นผลจากฮอร์โมนเพศ2 ตัว คือ เทสโทสเทอโรน และเอสโตรเจน
ทั้งนี้ หนูแห่งทุ่งหญ้าแพรรี (Prairie vole) ขึ้นชื่อว่าเป็นต้นแบบของคู่รักในฝัน เมื่อมีครอบครัว พ่อหนูจะฟีลกู๊ดจนหลั่งสาร “วาโซเพรสซิน” ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พ่อหนูแพรรีเป็นสามีที่สมบูรณ์แบบ ทั้งอบอุ่น ซื่อสัตย์ และรับผิดชอบ
แต่จะด้วยความหมั่นไส้หรืออะไรก็ตามแต่ นักวิทยาศาสตร์ได้ลองทำการลดปริมาณวาโซเพรสซินในพ่อหนู แล้วพบว่า พ่อหนูที่ดีมาตลอด เริ่มมีอาการเย็นชา ห่างเหินคู่รัก ไม่สนใจครอบครัวอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อมีบุคคลเป้าหมายแล้ว จะเข้าสู่ช่วงคลั่งรัก ที่ทำให้ชีวิตเราผิดเพี้ยนไป หมกมุ่น ไม่สนใจโลก เอาแต่เพ้อ ละเมอถึงคนรัก อาการเหล่านี้ เกิดจากสารสื่อประสาทในกลุ่ม โดพามีน ที่ส่งผลให้สมองตื่นตัวนอร์อะดรีนาลีน ที่ทำให้เหงื่อแตกและหัวใจเต้นรัว และเซโรโทนิน ที่ทำให้เกิดอาการ...ซึม...เศร้า...เหงา...เพราะรัก
ในช่วงสุดท้าย เมื่อบุคคลเป้าหมายยอมตกลงปลงใจ ไม่ว่าจะเป็นแฟน หรือร่วมหอลงโรง ฮอร์โมนสองตัวสำคัญที่ถูกขับออกมาและมีส่วนช่วยรักษาความรักความผูกพันคือ ออกซีโทซิน ซึ่งจะถูกขับออกมาเมื่อชายหญิงมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้ง และวาโซเพรสซิน ที่เป็นตัวขับเคลื่อนชีวิตครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียว
ความรักทำให้คนตาบอด
ในช่วงแรกของรัก นักวิจัยพบว่า ความรักทำให้เราหูบอดเสียมากกว่า เพราะเมื่อเราปิ๊งใครสักคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า และถ้ามีโอกาสได้พูดคุยกันสั้นๆ แค่นาทีกว่าๆ ระบบภายในร่างกายก็จะประมวลผลได้แล้วว่า จะรุกต่อ หรือจะชิ่งดี เพียงแต่ความประทับใจที่เกิดจากพูดคุยกับบุคคลเป้าหมายนั้น ไม่ใช่จากสาระที่เธอหรือเขาพูดออกมา แต่กลับเป็นภาษากายต่างหากที่สร้างความประทับใจได้ดีกว่า ซึ่งหมายความว่า หากคุณมีลีลาที่ดี (และมีสาระบ้าง) ก็มีโอกาสมัดใจเขาหรือเธอได้ไม่ยาก
ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ
ในประเด็นของความรักที่เกิดจากการมองตานั้น นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเมื่อเรารู้สึกสนใจอะไรรูม่านตาของเราจะขยาย นัยน์ตาจะดูกลมโตและเป็นประกาย ซึ่งอาจจะเป็นการส่งสัญญาณเล็กๆจากหัวใจ ไปสะกิดเตือนให้เขา/เธอรู้ตัวก็เป็นได้หากสาวอิตาเลียนในสมัยกลางได้รู้เรื่องนี้คงเซ็ง เพราะแค่เจอคนที่ถูกใจ นัยน์ตาของพวกเธอก็จะกลมโต สวยงามได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมานั่งคั้นลูกเบลลาดอนน่า (Belladonna) เอาน้ำมาหยอดทำตาแบ๊วให้เมื่อย แถมยังเสี่ยงตาบอดอีกต่างหาก
ผู้หญิง หรือ ผู้ชาย ช่างเลือกกว่ากัน?
สำหรับผู้ชาย พบว่าส่วนมากจะมองผู้หญิงที่รูปลักษณ์ภายนอกก่อน โดยรูปร่างของผู้หญิงที่เตะตาผู้ชายที่สุดนั้น ต้องมีลักษณะคล้ายนาฬิกาทรายที่มีเอวคอดกิ่ว หากเอาขนาด “รอบเอว” หารด้วย “รอบสะโพก” แล้ว ควรได้ค่าประมาณ 0.7 นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้หญิงที่มีสัดส่วนใกล้เคียง 0.7นั้น ส่วนใหญ่แข็งแรง เหมาะจะมาเป็นแม่ของลูกอย่างมาก
ในขณะที่ผู้หญิงกลับมองที่ความสามารถ และภาวะผู้นำที่มีอยู่ในตัวของผู้ชายมากกว่า ผู้หญิงบางคนก็ลึกซึ้งเกินคาดเดา เลือกสนใจผู้ชายที่มีกลิ่นคล้ายพ่อของตัวเอง เพราะเชื่อว่า เขาน่าจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีเหมือนที่มีอยู่ในตัวเธอ และถ้าโชคดี เขาเหล่านั้นอาจจะมียีนดีอื่นๆ อยู่ในตัวอีกด้วย
คนเป็นเนื้อคู่กัน จะหน้าเหมือนกัน
คนเรามักจะสนใจคนที่ดูคล้ายตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา หรือบุคลิกภาพ มีการทดสอบเรื่องนี้โดยการนำภาพใบหน้าของผู้เข้าร่วมทดสอบมาแปลงให้เป็นเพศตรงข้าม แล้วเอาไปปนกับรูปคนอื่น เมื่อให้ผู้ทดสอบเลือกคนที่ถูกใจ ปรากฏว่าส่วนใหญ่เลือกรูปของตัวเอง นักจิตวิทยาบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพราะความฝังใจในวัยเด็กซึ่งเห็นหน้า “พ่อและแม่” ที่คล้ายกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน เมื่อได้เห็นคนที่มีหน้าตาในแบบที่คุ้นเคย ก็ถูกชะตา รู้สึกอบอุ่น และคิดว่าน่าจะเป็นคนที่ใช่
ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์?
ความรักเป็นปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย และยังเกี่ยวพันกับปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรม รวมทั้งการเรียนรู้ด้วย ความรักเติบโตขึ้นพร้อมๆ กับเรา โดยประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เรารู้จักเลือกที่จะรัก รู้จักหยุดเพื่อที่จะเริ่มใหม่ และรู้จักสร้างเงื่อนไขเพื่อให้ได้มาซึ่งการดำรงพันธุ์ที่เหมาะสม หากเราเข้าใจ ก็จะพบว่า ณ ที่ใดที่มีรัก ที่นั่นไม่จำเป็นต้องมีทุกข์เสมอไป


