บำรุงเมือง ถนนสังฆภัณฑ์ นานนับศตวรรษ
หัวเรื่องที่ผมจั่วไว้นี้ไม่เกินความจริง เพราะบนถนนบำรุงเมือง ถนนสายแรกของเมืองไทย
โดย...สมาน สุดโต
หัวเรื่องที่ผมจั่วไว้นี้ไม่เกินความจริง เพราะบนถนนบำรุงเมือง ถนนสายแรกของเมืองไทย ทำธุรกิจจำหน่ายเครื่องสังฆภัณฑ์ ที่เป็นของใช้พระภิกษุสามเณร มานานมากตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
บรรดาทายาทที่สืบสานธุรกิจในปัจจุบัน เป็นรุ่นที่ 2 หรือรุ่นที่ 3 และแนวโน้มธุรกิจนี้ในอนาคตก็จะยั่งยืนตลอดไป ตราบใดที่ประเทศไทยมีคนนับถือพระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่
ข้อมูลเรื่องเกาะรัตนโกสินทร์ เล่าประวัติถนนบำรุงเมือง โดยเริ่มเล่าเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ทรงมุ่งทำนุบำรุงกรุงรัตนโกสินทร์ให้เหมือนกับกรุงศรีอยุธยา โดยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดสุทัศนเทพวรารามขึ้น กำหนดให้เป็นกึ่งกลางพระนคร ให้มีความสูงเท่าวัดพนัญเชิง นอกจากนั้นยังมีการสร้างเทวสถานและเสาชิงช้า ซึ่งถือเป็นคติโบราณที่ทำให้บ้านเมืองมั่นคง เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับพระนคร บริเวณนี้จึงถือเป็นย่านใจกลางเมืองที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพนับถือของศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ เป็นย่านที่มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวจีนได้มาตั้งหลักปักฐานยึดอาชีพค้าขายสินค้าต่างๆ เช่น เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ตลอดไปถึงเครื่องสังฆภัณฑ์
ขายสังฆภัณฑ์ตั้งแต่ ร.5
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์ เริ่มแรกเป็นร้านไม้คูหาขนาดเล็กตั้งอยู่ริมถนนบำรุงเมือง เริ่มตั้งแต่บริเวณประตูผีหรือประตูสำราญราษฎร์ ถนนมหาไชย (ชาวบ้านเรียกประตูผีเนื่องจากเป็นเส้นทางเดียวที่นำผู้เสียชีวิตออกจากกำแพงเมืองไปเผาที่วัดสระเกศ เพราะมีเมรุปูนตั้งอยู่)
ต่อมาร้านสังฆภัณฑ์ได้มีการขยายพื้นที่ไปตามถนนบำรุงเมืองสู่ด้านทิศตะวันตกผ่านบริเวณหน้าวัดสุทัศน์ ไปสิ้นสุดที่สี่กั๊กเสาชิงช้า ตัดกับถนนตะนาว
ข้อมูลรัตนโกสินทร์กล่าวถึงตึกแถวที่ขายสังฆภัณฑ์นั้นเป็นตึกแถวที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นลักษณะตึกแถวที่ได้รับอิทธิพลมาจากตึกแถวในปีนังและสิงคโปร์ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนสูง 2 ชั้น กำแพงหนาเพื่อป้องกันอัคคีภัย ขอบประตูด้านบนโค้งมน
ประตูมีลักษณะเป็นบานเฟี้ยมทำจากไม้ โดยลักษณะเด่นอยู่ที่การเว้นเนื้อที่ด้านหน้าอาคารเป็นทางเดินที่มีหลังคายื่นมาจากตัวอาคารเพื่อกันแดดกันฝน (หง่อคากี่)
ในยุคแรกทางเดินเหล่านี้ยังสามารถใช้การได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งเจ้าของอาคารในยุคหลังได้กั้นทางเดินของอาคารตนเองเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายใน จึงทำให้ทางเดินหรือฟุตปาทบางส่วนถูกตัดขาดไปเป็นพื้นที่ใช้สอยของอาคารหลังนั้นๆ ในที่สุดบริเวณตึกเก่าๆ ทั้งหลายย่านที่ขายเครื่องสังฆภัณฑ์จึงเป็นตึกที่ไม่มีฟุตปาทถึงทุกวันนี้
เอกลักษณ์ตึกไม่มีฟุตปาท
การไม่มีฟุตปาทกลายเป็นเอกลักษณ์ของร้านค้าดังที่หนังสือเมนูหนังสือ ของโรงพิมพ์เลี่ยงเชียงเลขที่ 223 ถนนบำรุงเมือง แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร บอกที่ตั้งของร้านว่า อย่าเข้าผิดร้าน ของเขาเป็นของแท้เก่าแก่ที่สุด ตึก 2 ชั้น ประตูสีเหลือง โทร. 022238979 พร้อมกับคำเตือน ระวัง! อย่าเข้าผิดร้าน หน้าร้าน (ของแท้) ไม่มีฟุตปาท เลี่ยงเชียง ช.ช้าง ไม่ใช่เลี่ยง เซียง ซ.โซ่ (เพราะมีคู่แข่งชื่อคล้ายกัน ตั้งอยู่แถวเดียวกัน)
โรงพิมพ์เลี่ยงเชียง (ช.ช้าง) ตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ. 2459 อีก 2 ปีจะครบ 100 ปี เป็นที่รู้จักของพระภิกษุสามเณรมานานว่าจำหน่ายตำราเรียนนักธรรม บาลี และหนังสือคู่มือการเรียนการสอน รวมทั้งหนังสือเทศน์อานิสงส์ต่างๆ วันนี้ขายเครื่องสังฆภัณฑ์เพิ่มขึ้น ลูกหลานตระกูลลิปโป บอกว่าที่เพิ่มสังฆภัณฑ์ เพราะลูกค้าสั่งตำราเรียนของพระ จึงอยากได้เครื่องสังฆภัณฑ์ด้วย ก็จัดให้ครบ สะดวก แบบ One Stop Service
ปัจจุบันโรงพิมพ์เลี่ยงเชียง ได้ขยายกิจการไปอยู่ที่ถนนประชาอุทิศ ซอย 45 แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กทม.อีกแห่งหนึ่ง
ฮั่ว ฮะ ฮวด
ประวิทย์ คูเกษมกิจ เจ้าของร้านฮั่ว ฮะ ฮวด ที่ทำธุรกิจค้าเครื่องสังฆภัณฑ์ต่อจากรุ่นคุณพ่อ หรือเตี่ย เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 70 ปี บอกว่าคุณพ่อทำธุรกิจร้านค้าสังฆภัณฑ์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2485 ส่วนตัวคุณประวิทย์รับช่วงมานานกว่า 60 ปี ก็ยังเห็นธุรกิจสังฆภัณฑ์บนถนนบำรุงเมืองไปได้ดี เพราะคนรุ่นไหนๆ ไม่ว่ารุ่นก่อน หรือรุ่นปัจจุบัน แม้กระทั่งเยาวชนรุ่นใหม่ก็ยังเชื่อและนับถือพระพุทธศาสนา ยังทำบุญกันอยู่
จากการที่ร้านฮั่ว ฮะ ฮวด เป็นธุรกิจที่ลูกค้าทั้งญาติโยมและพระสงฆ์ให้ความไว้วางใจ งานของร้านจึงแน่น ทั้งงานจัดผ้าไตร งานปักย่าม ตาลปัตรพัดรอง จึงเห็นสินค้าตัวอย่าง ซึ่งเป็นผลงานของร้านนับทศวรรษแสดงอยู่เต็มร้าน
ที่แสดงความเก๋า ได้แก่ ตาลปัตรพัดรอง ของจอมพลทั้ง 4 ท่านของเมืองไทย คือ ตาลปัตรพัดรองปักลายเซ็น และเครื่องหมายประจำตัวของ 4 จอมพล คือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี จอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรี และจอมพลประภาส จารุเสถียร อดีต รมว.มหาดไทย
ของใช้พระและพุทธศาสนา
ร้านสังฆภัณฑ์ บนถนนบำรุงเมือง ตั้งแต่ย่านประตูผีถึงสี่กั๊กเสาชิงช้า ใกล้กระทรวงมหาดไทยมีของใช้ของพระสงฆ์และเครื่องบูชา รวมทั้งพระพุทธรูปขนาดต่างๆ เต็ม 2 ฟากถนน ที่ยาวประมาณ 600700 เมตร ท่านต้องการสิ่งของอะไร ตามวัฒนธรรมและพุทธประเพณี เช่น ที่บรรจุพระสารีริกธาตุ โกศบรรจุอัฐิ โต๊ะบูชา อาสนสงฆ์ร่ม กลด สัปทน สามารถหาได้ที่ร้านในย่านนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมาเดินย่านสังฆภัณฑ์ ทำให้นึกถึงความหลังเมื่อ 50 กว่าปี หรือก่อน พ.ศ. 2500 ที่จีวรพระต้องย้อมสีตลอดเวลา เพราะยุคนั้นผ้าสีตก ทำให้พระเณรทุกรุ่นทุกรูปต้องรู้จักวิธีซักผ้าและย้อมผ้า
สุสบงจีวร
เมื่อผู้เขียนมาอยู่วัดพระพิเรนทร์ ถนนวรจักร ปี 2505 ก็พบคนจีนทำธุรกิจกับพระตามวัดแบบขายตรง คือ การเดินขายสีไปตามวัดต่างๆ ปากก็ร้องว่า สีย้อมผ้า ผ้าย้อมสี คนจีนขายตรงรุ่นนี้กลายเป็นเถ้าแก่ร้านสังฆภัณฑ์ไปเป็นส่วนมาก
ขอบันทึกเรื่องการซักและย้อมจีวรเพื่อการศึกษา เพราะปัจจุบันไม่วิธีการเหล่านี้แล้ว การย้อมผ้าจีวรก่อนอื่นต้องสุจีวรก่อน การสุ ก็คือ การซักด้วยน้ำร้อน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายว่า สุ คือการซักสบงจีวรวิธีหนึ่ง โดยใช้น้ำร้อน หรือมะกรูด มะนาว เป็นต้น แต่พวกพระเณรบ้านนอกใช้น้ำร้อนเท่านั้น
เมื่อใช้น้ำร้อนสุผ้า ต้องหาไม้มาช่วยทุบช่วยตีผ้า หาไม้อย่างอื่นไม่ได้ก็ใช้ไม้ตีกลองเพล คะเนว่าสะอาดก็บิดตากพอแห้งแล้ว ถึงขั้นที่ 2 คือนำมาย้อม
การย้อมผ้าต้องใช้น้ำร้อนใส่ในถังพอประมาณแล้ว นำสีย้อมผ้าที่บรรจุอยู่ในกระป๋องนานายี่ห้อ เช่น ยี่ห้อรูปมังกร เป็นต้น 1 หรือ 2 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงไปในน้ำร้อน ใช้ไม้คนให้ทั่วแล้วจึงใส่สบงหรือจีวรที่จะย้อมลงไป พลิกกลับไปกลับมา เพื่อให้สีกระจายทั่วทั้งผืนแช่ไว้ครู่หนึ่ง จนน้ำเย็นจึงบิดแล้วนำไปตากให้แห้ง
ปัจจุบันพระภิกษุสามเณรไม่ต้องสุและย้อมสบงจีวร เพราะสีไม่ตก ส่วนการซักสบงจีวรในปัจจุบันก็ใช้เครื่องซักผ้า ถ้าอยู่ในสหรัฐหรือยุโรป พัฒนาไปอีกคือใส่สบงจีวรเข้าเครื่องซักและอบแห้งจบเลย
นี่คือส่วนหนึ่งของความเป็นมา และการพัฒนาของการขายเครื่องสังฆภัณฑ์ ในตึกแถวที่ไม่มีฟุตปาท บนถนนบำรุงเมือง อายุเกิน 100 ปี แห่งนี้


