ซูเปอร์โนวา
สัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการค้นพบซูเปอร์โนวาเกิดขึ้นในดาราจักรที่อยู่ห่างออกไป 11.5 ล้านปีแสง
สัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการค้นพบซูเปอร์โนวาเกิดขึ้นในดาราจักรที่อยู่ห่างออกไป 11.5 ล้านปีแสง นับเป็นซูเปอร์โนวาที่ระเบิดใกล้เรามากที่สุดนับตั้งแต่ซูเปอร์โนวาเมื่อ 21 ปีก่อน ซึ่งห่างใกล้เคียงกัน แต่ต้องสังเกตด้วยกล้องโทรทรรศน์ เนื่องจากไม่สว่างพอจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ซูเปอร์โนวาหรือมหานวดารา (Supernova) เป็นการระเบิดอย่างรุนแรงที่ปลดปล่อยพลังงานออกมาอย่างมาก จนสามารถสว่างกว่าดาราจักรทั้งดาราจักรที่มีดาวฤกษ์นับแสนล้านดวงอยู่รวมกัน ซูเปอร์โนวาถูกแบ่งเป็นชนิดต่างๆ ตามลักษณะของสเปกตรัม ซึ่งบ่งบอกถึงองค์ประกอบภายในและกลไกการเกิดซูเปอร์โนวา
โดยทั่วไปซูเปอร์โนวามี 2 ลักษณะ แบบแรกพบในระบบดาวคู่ที่มีดาวดวงหนึ่งเป็นดาวแคระขาว มวลจากดาวที่เป็นคู่ถูกดึงไปที่ดาวแคระขาวจนกระทั่งดาวแคระขาวระเบิดอย่างรุนแรงด้วยปฏิกิริยานิวเคลียร์ อีกแบบเกิดขึ้นกับดาวฤกษ์มวลมาก เมื่อไฮโดรเจนถูกใช้หมดไป ดาวจะยุบตัวลงอย่างฉับพลันด้วยแรงโน้มถ่วงอันมหาศาล สาดเปลือกดาวกระจายออกไปในอวกาศด้วยความเร็วสูง ส่วนแก่นกลายเป็นดาวนิวตรอน หากมีมวลมากจะเป็นหลุมดำ
ซูเปอร์โนวาดวงที่เพิ่งค้นพบใหม่นี้เกิดขึ้นในดาราจักรเอ็ม 82 (M82) เป็นดาราจักรชนิดก้นหอยที่อยู่ห่างโลก 11.5 ล้านปีแสง หันด้านข้างเข้าหาเรา ชื่อเอ็ม 82 มาจากบัญชีเมซีเย ซึ่งเป็นบัญชีวัตถุท้องฟ้าที่ชาร์ลส์ เมซีเย นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสรวบรวมไว้เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18
ดาราจักรนี้มีรูปร่างคล้ายซิการ์ จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าดาราจักรซิการ์ ปรากฏอยู่ในกลุ่มดาวหมีใหญ่ในซีกฟ้าเหนือ หรือที่คนไทยเรียกดาวสว่าง 7 ดวงในกลุ่มดาวนี้ว่าดาวจระเข้ ช่วงนี้สามารถเห็นกลุ่มดาวหมีใหญ่ได้ตลอดทั้งคืน โดยขึ้นมาเหนือขอบฟ้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือในเวลาหัวค่ำ แล้วค่อยๆ เคลื่อนสูงขึ้นจนไปอยู่สูงสุดทางทิศเหนือในเวลาเช้ามืด
ดาราจักรเอ็ม 82 เป็นวัตถุต้นแบบของดาราจักรชนิดดาวกระจาย (Starburst Galaxy) หมายถึงดาราจักรที่พบการก่อตัวของดาวฤกษ์เกิดใหม่ในอัตราสูงเป็นพิเศษ ใกล้กันมีดาราจักรชนิดก้นหอยอีกดาราจักรหนึ่ง ชื่อเอ็ม 81 ห่างกันในอวกาศเพียงราว 1.5 แสนปีแสง คาดว่าการเคลื่อนเข้าใกล้กันระหว่างดาราจักรทั้งสองเมื่อหลายสิบล้านหรือร้อยล้านปีที่แล้ว อาจเป็นสาเหตุให้เอ็ม 82 เกิดดาวใหม่จำนวนมาก และทำให้รูปร่างของมันบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย
ซูเปอร์โนวาที่ค้นพบใหม่นี้มีชื่อชั่วคราวหลังค้นพบว่า PSN J09554214+6940260 ซึ่งหมายถึงวัตถุที่อาจเป็นซูเปอร์โนวา ตัวอักษรเจและตัวเลขต่างๆ บ่งบอกถึงพิกัดของซูเปอร์โนวาในระบบพิกัดไรต์แอสเซนชันและเดคลิเนชัน ซึ่งเป็นระบบพิกัดทางดาราศาสตร์ที่อ้างอิงกับแกนหมุนของโลก ต่อมาสหพันธ์ดาราศาสตร์สากลได้กำหนดชื่ออย่างเป็นทางการว่าเอสเอ็น 2014 เจ (SN 2014J) หมายถึงซูเปอร์โนวาที่ค้นพบเป็นลำดับที่ 10 ใน ค.ศ. 2014
การค้นพบมีขึ้นโดยบังเอิญระหว่างที่ ดร.สตีฟ ฟอสซี สาธิตการใช้กล้องถ่ายภาพซีซีดีร่วมกับกล้องโทรทรรศน์ให้แก่นักศึกษาปริญญาตรี 4 คน ที่หอดูดาวมหาวิทยาลัยแห่งลอนดอนในสหราชอาณาจักร เมื่อคืนวันที่ 21 ม.ค. ตามเวลาท้องถิ่น แท้จริงแล้วการระเบิดของซูเปอร์โนวาดวงนี้ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่แสงเพิ่งเดินทางมาถึงเรา ดาราจักรเอ็ม 82 อยู่ห่างประมาณ 11.5 ล้านปีแสง นั่นแปลว่าการระเบิดได้เกิดขึ้นเมื่อราว 11.5 ล้านปีที่แล้ว
นักดาราศาสตร์ใช้โชติมาตรหรืออันดับความสว่างสำหรับบอกความสว่างของวัตถุท้องฟ้า ยิ่งมีค่าน้อยยิ่งสว่าง ดาวจางที่สุดที่ดวงตาของมนุษย์จะเห็นได้ภายใต้ฟ้ามืดมีโชติมาตรประมาณ 6.5 ขณะค้นพบนั้น ซูเปอร์โนวามีความสว่างที่โชติมาตรประมาณ 11.7 จึงจางเกินกว่าจะเห็นได้ รายงานความสว่างล่าสุดแสดงว่ามันกำลังมีความสว่างเพิ่มขึ้น และอาจสว่างที่สุดในสัปดาห์หน้า คาดว่าน่าจะสว่างขึ้นจากเดิมประมาณ 23 เท่า แต่ก็ยังจางเกินกว่าจะเห็นได้ ต้องใช้กล้องโทรทรรศน์ในการสังเกต หลังจากผ่านช่วงที่สว่างที่สุดไปแล้ว ซูเปอร์โนวาจะมีความสว่างลดลงเรื่อยๆ จนจางหายไป
ซูเปอร์โนวาในทางช้างเผือกดวงล่าสุดที่สว่างจนเห็นได้ด้วยตาเปล่าเกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1604 สว่างใกล้เคียงดาวพฤหัสบดี ซูเปอร์โนวาดวงนั้นมีชื่อว่าดาวของเคปเลอร์ เนื่องจากโยฮันเนส เคพเลอร์นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน เจ้าของกฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ ได้บันทึกการสังเกตการณ์ไว้อย่างละเอียด
หลังจากนั้นมีซูเปอร์โนวาที่สว่างพอจะเห็นได้ด้วยตาเปล่าอีก แต่เกิดในดาราจักรอื่น ล่าสุดคือซูเปอร์โนวา 1987 เอ ในดาราจักรเมฆแมเจลแลนใหญ่ เมื่อ พ.ศ. 2530 มีตำแหน่งอยู่ลึกลงไปในซีกฟ้าใต้ สังเกตได้ดีในซีกโลกใต้ และสังเกตได้ยากจากประเทศไทย
หากในอนาคตเกิดซูเปอร์โนวาขึ้นในดาราจักรทางช้างเผือก และซูเปอร์โนวานั้นอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีฝุ่นมืดในอวกาศระหว่างดาวบดบัง เราจะสามารถเห็นซูเปอร์โนวาได้ด้วยตาเปล่า
ปรากฏการณ์ท้องฟ้า (26 ม.ค.–2 ก.พ.)
ดาวพุธอยู่บนท้องฟ้าเวลาหัวค่ำ มองเห็นอยู่ใกล้ขอบฟ้าทิศตะวันตก โดยอยู่ในทิศทางระหว่างกลุ่มดาวแพะทะเลกับกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ วันที่ 31 ม.ค. ดาวพุธจะทำมุมห่างจากดวงอาทิตย์มากที่สุด หลังจากนั้นจึงเคลื่อนกลับเข้าใกล้ดวงอาทิตย์
ดาวพฤหัสบดีอยู่ในกลุ่มดาวคนคู่ เห็นได้บนท้องฟ้าทิศตะวันออกในเวลาหัวค่ำ สัปดาห์นี้ดาวพฤหัสบดีจะขึ้นไปอยู่เหนือศีรษะในเวลาประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง แล้วคล้อยต่ำลงจนตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกในเวลาประมาณ ตี 5
ดาวอังคารอยู่ในกลุ่มดาวหญิงสาว ใกล้ดาวรวงข้าวหรือดาวสไปกา ซึ่งเป็นดาวสว่างในกลุ่มดาวนี้ เริ่มเห็นดาวอังคารได้ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง โดยขึ้นมาอยู่เหนือขอบฟ้าทิศตะวันออก ดาวเสาร์อยู่ในกลุ่มดาวคันชั่ง เริ่มปรากฏเหนือขอบฟ้าทิศตะวันออก เยื้องไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ราว ตี 2 หรือก่อนหน้านั้นไม่นาน
ดาวศุกร์เป็นดาวประกายพรึก ขึ้นมาอยู่เหนือขอบฟ้าในเวลาประมาณ ตี 5 หากใกล้ขอบฟ้ามีเมฆหมอกบัง อาจเห็นได้ช้ากว่านี้ กล้องโทรทรรศน์ยังคงเห็นดาวศุกร์เป็นเสี้ยว ส่วนสว่างค่อยๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน
สัปดาห์นี้เป็นครึ่งหลังของข้างแรม จันทร์เสี้ยวอยู่บนท้องฟ้าเวลาเช้ามืด วันที่ 27 ม.ค. ดวงจันทร์ผ่านใกล้ดาวปาริชาตหรือดาวแอนทาเรสในกลุ่มดาวแมงป่องที่ระยะ 8 องศา วันที่ 29 ม.ค. จันทร์เสี้ยวบางๆ อยู่ทางขวามือของดาวศุกร์ด้วยระยะห่างเพียง 3 องศา จันทร์ดับในวันที่ 31 ม.ค. ซึ่งตรงกับวันตรุษจีน จากนั้นเข้าสู่ข้างขึ้น วันที่ 1 ก.พ. จันทร์เสี้ยวบางเฉียบอยู่ทางขวามือของดาวพุธที่ระยะห่าง 5 องศา โดยปรากฏใกล้ขอบฟ้าทิศตะวันตกในเวลาหัวค่ำ มีเวลาสังเกตได้ไม่นานก่อนที่ทั้งคู่จะตกลับขอบฟ้าก่อนท้องฟ้าจะมืดสนิท
ค่ำวันเสาร์ที่ 1 ก.พ. สถานีอวกาศนานาชาติจะผ่านเหนือท้องฟ้าประเทศไทย โดยเห็นเป็นดาวสว่างเคลื่อนที่บนท้องฟ้า กรุงเทพฯ และบริเวณใกล้เคียงเริ่มเห็นสถานีอวกาศเวลา 20.05 น. ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จากนั้นเคลื่อนสูงขึ้นไปทางขวา เข้าสู่เงามืดของโลกทางทิศตะวันตกในเวลา 20.07 น.


