posttoday

ไม่ประสงค์จะลงคะแนน

25 มกราคม 2557

มีคนถามกันมากเรื่อง No Vote กับ Vote No ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร และเราควรจะเลือกอันไหน

มีคนถามกันมากเรื่อง No Vote กับ Vote No ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร และเราควรจะเลือกอันไหน คำถามหลังตอบได้ก่อนง่ายๆ ควรจะเลือกอันไหน ต้องแล้วแต่ใครเป็นคนใคร่ครวญ แต่ข้อดีข้อเสียสามารถนำมาพิจารณาได้ เอาข้อเสียข้อหนึ่ง คือ การ No Vote นั่นคือ การไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งก็กลายเป็นไม่ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และเราก็จะไม่ถูกนำไปคำนวณเป็นฐานในการนับคะแนน ส่วนข้อดีก็คือ จะทำให้ตัวเลขผู้ออกมาใช้สิทธิอยู่ในระดับต่ำได้หากมีคน No Vote จำนวนมาก ก็จะแสดงให้เห็นว่าประชาชนไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้งกันล้นหลาม

ส่วน Vote No นั้น คือ การไปใช้สิทธิ แต่ไม่ออกเสียงเลือกใคร นั่นคือ การกาลงในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน ซึ่งข้อเสีย คือ หากการตีความในเขตที่มีจำนวนผู้สมัครมากกว่าหนึ่งคนไม่ต้องนับคะแนนไม่ประสงค์จะลงคะแนนมาเทียบด้วย คะแนนที่ลงไปก็จะเสียเปล่า ไม่สามารถใช้ได้กับบัญชีรายชื่อ และคือการไม่มีผู้แทนที่ท่านเลือก ข้อดี คือ ในเขตที่มีผู้สมัครเพียงคนเดียว หากผู้ที่ลงสมัครนั้นได้คะแนนน้อยกว่าผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนน จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ และหากการตีความในเขตที่มีจำนวนผู้สมัครมากกว่าหนึ่งคนต้องนับคะแนนไม่ประสงค์จะลงคะแนนมาเทียบด้วย หากไม่มีผู้ใดในบรรดาผู้ลงสมัครทั้งหลายได้คะแนนมากกว่าผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนน ก็จะต้องมีการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขตนั้นๆ

หลายท่านสงสัยว่าแล้วโดยผลของกฎหมายเป็นอย่างไร ลองมาพิจารณามาตรา 88 และ 89 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. และการได้มาซึ่ง สว. กันดู

มาตรา 88 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “ในเขตเลือกตั้งใด ถ้าในวันเลือกตั้งมีผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งคนเดียวผู้สมัครจะได้รับเลือกตั้งต่อเมื่อได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น และมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง”

มาตรา 89 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 88 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งให้ผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้งในกรณีที่มีผู้ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดเท่ากันหลายคน ให้ใช้วิธีการจับสลาก ซึ่งต้องกระทำต่อหน้าคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งตามวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด”

มาตรา 88 วรรคหนึ่งนั้นพิจารณาได้ตามตัวบท หรือตามลายลักษณ์อักษรที่มีปรากฏได้ไม่ยากนัก กรณีมีผู้สมัครคนเดียวในเขตใด หากผู้สมัครรายนั้นได้คะแนนเสียงไม่ถึงร้อยละยี่สิบ และที่สำคัญไม่มากไปกว่าผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนน ต้องมีการเลือกตั้งใหม่

มาตรา 89 ตามตัวอักษรจะพิจารณายากสักนิด อีกทั้งยังต้องพิจารณาเจตนารมณ์ประกอบด้วย ส่วนลายลักษณ์อักษรก็คือ ต้องใช้มาตรา 88 มากำกับด้วย คือ ผู้ที่ได้คะแนนมากที่สุดในเขต แม้จะต้องเทียบกับคนเป็นสิบก็ตาม หากได้น้อยกว่าร้อยละยี่สิบ และน้อยกว่าผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนน ก็จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ เพราะมาตรา 89 ขึ้นต้นบทบัญญัติด้วย ภายใต้บังคับมาตรา 88 ที่กำหนดถึงการนับคะแนนร้อยละยี่สิบ และไม่ประสงค์จะลงคะแนน

เมื่อพิจารณาโดยเจตนารมณ์ของมาตรา 88 และ 89 โดยเฉพาะเพื่อให้เห็นว่าเหตุใดมาตรา 89 จึงต้องพิจารณาคะแนนร้อยละยี่สิบ และไม่ประสงค์จะลงคะแนนด้วย เพราะหากผู้ที่จะมาเป็นผู้แทนได้คะแนนยังไม่ถึงร้อยละยี่สิบของผู้มาใช้สิทธิเท่ากับว่าห่างไกลจากเสียงข้างมากเหลือเกิน และที่สำคัญที่สุดหากได้คะแนนน้อยกว่าไม่ประสงค์จะลงคะแนน ไม่ว่าจะได้มากกว่าผู้สมัครรายอื่นเพียงใด ยังคงแปลว่า ผู้ไม่เลือกท่านมากกว่า จึงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นผู้แทน

ข่าวล่าสุด

ชี้จุด วิ่งฟรี มอเตอร์เวย์ M6 บางปะอิน - นครราชสีมา ต้องไปจุดไหน?