เครื่องคชาภรณ์สำหรับช้างเผือกและช้างพระที่นั่ง
กรมศิลปากร จัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ “นิทรรศการช่างศิลป์ไทยเทิดไท้องค์ราชัน”
โดย...สมาน สุดโต
กรมศิลปากร จัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ “นิทรรศการช่างศิลป์ไทยเทิดไท้องค์ราชัน” ระหว่างวันที่ 2-5 ธ.ค. 2556 ณ หอประติมากรรมต้นแบบ กรมศิลปากร กรุงเทพฯ งานจบไปแล้ว แต่งานศิลปกรรมนั้นไม่มีวันจบ ผมจึงนำภาพที่ทรงคุณค่าเหล่านั้นมาเผยแพร่ในวันนี้ โดยเฉพาะเครื่องคชาภรณ์ ซึ่งเป็นผลงานของช่างสิบหมู่
เครื่องคชาภรณ์ คือ เครื่องแต่งกายของช้างเผือกและช้างพระที่นั่ง สำหรับรัชกาลปัจจุบันได้สร้างขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2502 เพื่อสมโภชขึ้นระวาง พระเศวตอดุลยเดชพาหน ช้างเผือกซึ่งยังเป็นลูกช้าง เมื่อเวลาผ่านมาหลายสิบปีเครื่องคชาภรณ์ชุดแรกเล็กไป จึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรสร้างเป็นครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2549
เครื่องคชาภรณ์พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯชุดนี้ มีส่วนประกอบที่ทำด้วยทองคำหนักประมาณ หกกิโลกรัม สร้างแล้วเสร็จในวันที่ 31 พ.ค. 2549 ซึ่งประกอบด้วย
1.ผ้าปกกระพอง ทำด้วยผ้าเยียรบับลายทองพื้นแดง เย็บเป็นแผ่นรูปทรงคล้ายกลีบบัว ชายขอบผ้าทำเป็นริ้วลายทองพื้นเขียวอยู่ด้านใน พื้นแดงอยู่ด้านนอก 2 ริ้ว ขลิบริมด้วยดิ้นเลื่อม ส่วนฐานของกลีบบัวเชื่อมต่อกับตาข่ายแก้วกุดั่น
2.ตาข่ายแก้วกุดั่นหรืออุบะแก้วกุดั่น ทำด้วยลูกปัดแก้ว (เพชรรัสเซีย) เจียระไน ร้อยด้วยสายทองคำถัก เป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว หรือที่เรียกกันว่า อุบะหน้าช้าง มีความยาวด้านละ 100 ซม. เท่ากันทั้งสองด้าน ระยะจากปลายยอดสามเหลี่ยมถึงฐานกลีบบัว กว้าง 47 ซม. จุดที่สายทองคำถักร้อยลูกปัดแก้วประสานตัดกันเป็นตาข่าย ทุกจุดประดับด้วยดอกลายประจำยามทองคำประดับพลอยสีเขียว สีแดง และสีขาวห้อยด้วยพวงอุบะทองคำประดับพลอยสีแดงและสีขาว
3.พู่หู สำหรับเครื่องคชาภรณ์อดุลยเดชพาหนฯ ทำด้วยขนหางจามรีสีขาว ใช้ห้อยจากผ้าปกกระพอง ลงมาอยู่ส่วนหน้าของใบหูทั้งสองข้าง ในการประกอบเป็นตัวพู่หรือลูกพู่ เบื้องต้นต้องทำแกนด้วยผ้าขาวเป็นรูปดอกบัวตูม มีเชือกหุ้มผ้าตาดทองต่อจากขั้วแกน เพื่อใช้ผูกกับผ้าปกกระพอง ต่อจากนั้นเย็บขนจามรีประกอบเข้ากับแกนที่เตรียมไว้จำนวน 2 พู่ พู่หรือลูกพู่นี้เมื่อเย็บขนจามรีเสร็จแล้วจะมีรูปทรงคล้ายดอกบัว
4.ผ้าคลุมพู่ ทำด้วยผ้าเยียรบับรูปดาวหกแฉก ใช้คลุมบนขั้วพู่จามรี โดยเจาะรูตรงกลางเพื่อใช้เป็นที่ร้อยเชือก ขอบผ้าริมนอกขลิบด้วยผ้าตาดทองริมในขลิบด้วยผ้าสีแดง
5.จงกลพู่ เป็นส่วนที่ใช้ครอบบนขั้วพู่ทับอยู่บนผ้าคลุมพู่ ทำด้วยทองคำบุดุนลงยาสีเขียวและสีแดง ทำเป็นลายดอกบัวคว่ำ ปลายกลีบดอกบานออกเล็กน้อย ลักษณะรูปทรงคล้ายกรวย
6.เสมาคชาภรณ์ เป็นจี้หรือเครื่องประดับรูปใบเสมาสำหรับร้อยสายสร้อยผูกคอ ทำด้วยทองคำลงยา ด้านหน้าบุดุนเป็นรูปพระราชลัญจกร พระมหามงกุฎอุณาโลม ยอดพระมหามงกุฎเปล่งรัศมี ด้านข้างพระมหามงกุฎกระนาบด้วยลายช่อดอกลอยใบเทศ มีลายประดับรับส่วนล่าง กรอบใบเสมาบุดุนเป็นลายรูปพญานาค 2 ตัว ใช้หางเกี่ยวกัน ส่วนบนของใบเสมาตีปลอกบุดุนลายลวดลายลงยา มีลูกปัดทองทรงกลมกลวงสำหรับสอดร้อยด้วยสายสร้อยทองคำ
7.สร้อยคอ หรือสายสร้อยผูกคอทำด้วยทองคำเป็นรูปห่วงเกลียว ยาวประมาณ 385 ซม.
8.ตาบ หรือ ตาบทิศ เป็นเครื่องประดับติดอยู่กับพานหน้าและพานหลัง ทำด้วยทองคำบุดุนฉลุลายดอกประจำยามประดับพลอยสีเขียว สีแดง และสีขาว รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส สำหรับประดับพานหน้า ส่วนที่อยู่ใกล้กับไหล่ 2 ข้าง และประดับพานหลัง ส่วนที่อยู่ใกล้ตะโพก 2 ด้าน รวม 4 ดอก
9.วลัยงา หรือ สนับงา เป็นเครื่องประดับงาใช้สวมงาทั้งสองข้าง ข้างละ 3 วง รวม 6 วง ทำด้วยทองคำบุดุนประดับพลอยสีเขียว สีแดง และสีขาว
10.สำอาง เป็นห่วงคล้องอยู่ส่วนท้ายช้างใต้โคนหางเพื่อยึดกับพานหลังทำด้วยทองเหลืองชุบทอง มีลายประดับทำด้วยวิธีพิมพ์แกะลายบริเวณที่เป็นรูปขอ
11.ทามคอ พานหน้า พานหลัง ทำด้วยผ้าถักแบบสายพานหุ้มด้วยผ้าตาดทอง มีห่วงโลหะชุบทองเป็นตัวเกี่ยวประสานผูกด้วยเชือกหุ้มผ้าตาดทองทุกเส้น
12.พนาศ เป็นผ้าคลุมหลังช้างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำด้วยผ้าเยียรบับ ท้องผ้าเป็นลายทองพื้นเหลืองตามสีประจำวันพระราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ล้อมด้วยผ้าตาดทองพื้นแดงด้านหลังผ้าเยียรบับ ชายขอบผ้าชั้นนอกขลิบด้วยดิ้นทอง ตรงกลางท้องผ้าติดคันชีพ ทำเป็นกระเป๋าผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม ขลิบริมด้วยดิ้นทองทั้งสี่ด้าน ตรงกลางปักลายพระราชลัญจกรพระมหามงกุฎอุณาโลมด้วยไหมเหลือง ที่คันชีพทั้งสองข้าง ติดเม็ดดุมทำด้วยแก้วเจียระไน สายคล้องดุมทำด้วยทองคำขอบชายผ้าต่อจากคันชีพลงไปมีผ้าระบายซ้อน 3 ชั้น แต่ละชั้นขลิบด้วยดิ้นทองตกแต่งด้วยตุ้งติ้ง
กล่าวได้ว่า เครื่องคชาภรณ์ชุดนี้เป็นเครื่องยศคชาภรณ์ช้างต้นที่งดงาม โดยส่วนที่ทำด้วยทองคำมีน้ำหนักประมาณ 6 กิโลกรัม เหมาะสมกับร่างกายที่สมบูรณ์ใหญ่โตของพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯซึ่งเป็นช้างเผือกคู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างยิ่ง นับเป็นช้างต้นช้างแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ที่ได้รับพระราชทานเครื่องคชาภรณ์ชุดที่ 2 สำหรับพระยาช้างต้นที่เจริญวัยแล้ว
ภายหลังจากพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ล้มลงเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2553 ณ โรงช้างต้น พระราชวังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังนำเครื่องคชาภรณ์พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ชุดนี้ ส่งมอบให้สำนักทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2556 เพื่อเก็บรักษาและเตรียมนำออกจัดแสดงให้ประชาชนได้ชมต่อไป
ดังนั้น เครื่องคชาภรณ์พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ชุดนี้ จึงถือเป็นทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน สมัยรัตนโกสินทร์ที่ควรค่าแก่การรักษาเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติสืบไป


