posttoday

สารแห่งความเกลียดชัง

12 มกราคม 2557

เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทเอกชนได้ใช้เครื่องมือวิเคราะห์สถิติการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กในไทย และพบว่าในช่วง 1 เดือน (ต.ค.พ.ย.) ที่เริ่มมีสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง คนไทยมีการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์สื่อสารเรื่องการเมืองระหว่างกันเป็นจำนวนมาก

เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทเอกชนได้ใช้เครื่องมือวิเคราะห์สถิติการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กในไทย และพบว่าในช่วง 1 เดือน (ต.ค.พ.ย.) ที่เริ่มมีสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง คนไทยมีการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์สื่อสารเรื่องการเมืองระหว่างกันเป็นจำนวนมาก

รายงานระบุว่า ทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์อินสตาแกรม เว็บบอร์ดต่างๆ รวมถึงบล็อก มีการแชร์ข้อความ และโพสต์ข้อความที่เกี่ยวข้องกับการเมืองไม่ต่ำกว่า 1 ล้านข้อความ

ขณะที่ทวิตเตอร์ เป็นช่องทางที่ผู้ใช้นิยมมากที่สุด โดยมีการทวีตข้อความที่เกี่ยวกับการชุมนุมประท้วงไม่ต่ำกว่า 820,755 ข้อความ

เช่นเดียวกับจำนวนกระทู้ในเว็บบอร์ดชื่อดังอย่างพันทิปดอทคอม ที่มีการพูดถึงประเด็นทางการเมืองครั้งนี้มากกว่า 6,000 กระทู้ และมีการร่วมแสดงความเห็นมากกว่า 198,399 ข้อความ

ผลการวิเคราะห์สถิติยังพบอีกว่า การถ่ายภาพและแชร์สู่โซเชียลเน็ตเวิร์กได้รับความนิยมสูงขึ้นมากระหว่างที่มีการชุมนุมทางการเมือง โดยแอพพลิเคชั่นแชร์ภาพที่ได้รับความนิยมมากอย่างอินสตาแกรม มีการโพสต์ข้อความพร้อมภาพมากกว่า 2,382 ภาพ และมีการกดไลค์ภาพรวมสูงถึง 5 แสนครั้ง

ขณะที่เฟซบุ๊ก มียอดการโพสต์และแชร์ข้อความ รวมถึงรูปภาพสูงเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาปกติด้วยเช่นกัน

ข้อมูลมหาศาลกำลังไหลบ่าท่วมโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กไปพร้อมๆ กับความร้อนแรงของสถานการณ์การเมือง

นอกจากสถิติการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กเพิ่มมากขึ้นแล้ว หากมีใครสักคนไปเก็บสถิติการกดอันเฟรนด์เพื่อนของชาวเฟซบุ๊กไทย ผมคิดว่าไม่กี่เดือนที่ผ่านมาน่าจะเป็นช่วงที่มีการกดอันเฟรนด์มากที่สุดช่วงหนึ่งนับตั้งแต่เฟซบุ๊กเปิดให้บริการ

ในยามที่สถานการณ์ทางการเมืองมีผลต่ออารมณ์ของผู้คน ความเห็นบางความเห็นจากใครบางคนที่แสดงบนเฟซบุ๊กก็ทำให้อีกคนที่ได้อ่านรู้สึกตากระตุก หูร้อนผ่าว และพาลให้คลิกปุ่มอันเฟรนด์เอาได้ง่ายๆ

ขณะที่อารมณ์การเมืองเข้าครอบงำ ใครบางคนก็เผลอแสดงความเห็นแรงๆ กับเพื่อนที่มีความเห็นต่างผ่านเฟซบุ๊กแบบสาธารณะ

แทนที่ความเห็นนั้นจะเป็นการชวน “พูดคุย” ก็กลายเป็นทำให้ผู้ที่ถูกแสดงความเห็นถึงรู้สึกราวกับโดน “ประณาม” ต่อสาธารณะเอาได้ง่ายๆ

ความเห็นบางความเห็นก็กลายเป็นพิษ ที่ทำให้เราต้องสูญเสียมิตรภาพดีๆ ไปโดยไม่รู้ตัว

ใช่หรือไม่ว่า “สาร” ที่ถูกส่งจากไปมาระหว่างผู้คนบนโลกออนไลน์จำนวนไม่น้อยในขณะนี้ กำลังกลายเป็นสารแห่งความเกลียดชังที่สร้างความบาดหมางให้เกิดขึ้นกับผู้คนเข้าได้ง่ายๆ

ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ สารบางสารก็ได้ถูกแต่งเติม ตัดต่อ เพื่อมีเป้าหมายในการสร้างความโกรธแค้น เกลียดชังขึ้น

การวิจัยจากศูนย์ศึกษานโยบายสื่อ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง “การกำกับดูแลสื่อออนไลน์ที่เผยแพร่เนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง” ระบุเอาไว้ว่า โลกออนไลน์มีผลทำให้เกิดการแสดงออกถึงความเกลียดชังกันมากขึ้น ทั้งในรูปแบบการแสดงความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด เฟซบุ๊ก และการแบ่งปันคลิปวิดีโอจากยูทูบ

งานวิจัยระบุอีกว่า หากวัดระดับความเกลียดชังที่เห็นกันอยู่ จะแบ่งออกได้ 4 ระดับ เริ่มตั้งแต่ไม่มีวัตถุประสงค์ชัดเจน ทำเพื่อสร้างความเข้าใจผิด ยั่วยุให้เกิดความเกลียดชัง หนักไปจนถึงต้องการกำจัดกลุ่มเป้าหมาย

อย่างไรก็ตาม จากการวิจัยพบว่า การแสดงออกโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังในรูปแบบกล่าวโทษประณาม แฉ ว่าร้าย พูดจาดูหมิ่น เหยียดหยาม สบประมาท ทำให้อีกฝ่ายดูขบขัน ลดคุณค่า ทำให้ด้อยค่าในสายตาผู้อื่น เยาะเย้ยอย่างรุนแรง สมน้ำหน้า ทับถม ไปจนถึงเปรียบเทียบในลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นไม่ใช่คน

บนโลกออนไลน์มักมีคำ 3 คำ ที่มักถูกพูดถึงเสมอในการเสพสื่ออินเทอร์เน็ต นั่นคือ คำว่า “คิด วิเคราะห์ แยกแยะ” ทว่าในความเป็นจริงผู้คนจำนวนไม่น้อยกลับลืมนำมาใช้ หรือไม่ก็เลือกปิดตาข้างหนึ่งระหว่างเสพข้อมูลออนไลน์

หลายครั้งเมื่อได้รับข้อมูลที่สนับสนุนความคิดของเรา เราก็มักตัดสินทันทีว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นความจริง

แต่เมื่อได้รับข้อมูลที่ตรงกันข้ามกับความคิด เราก็มักจะมองว่าเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง หรือเป็นข้อมูลที่มีการตัดต่อใส่ร้าย

ขณะที่ข้อเท็จจริงของข้อมูลนั้นๆ กลับไม่ได้ถูกสนใจค้นหา เพื่อพิสูจน์ว่าข้อมูลที่ได้รับมามีความจริงแท้มากน้อยอย่างไร

และหลายครั้งข้อมูลที่ปราศจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างถ่องแท้ ก็ถูกส่งต่อจนกระจายไปบนโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง และสร้างความเข้าใจผิดต่อผู้คนมากมายตามมา

เมื่อ “สาร” ที่วิ่งผ่านระหว่างผู้ส่งไปยังผู้รับในปัจจุบันมีปริมาณมหาศาลและมีความเร็วในการเดินทางระดับเสี้ยววินาทีนั้น

ทั้งผู้ส่งและผู้รับอาจจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้งานเครื่องกรองที่ถูกพูดถึงเสมออย่าง “คิด วิเคราะห์ แยกแยะ” อย่างเข้มข้นในการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกรับส่งกันในโลกออนไลน์

ที่สำคัญ ไม่ว่าจะมีความคิดส่วนตัวอย่างไร หรือมีจุดยืนอยู่ด้านไหน การเลือกรับข้อมูลด้วยการปิดตาหนึ่งข้างและเมินเฉยที่จะค้นหาข้อเท็จจริงของข้อมูลอย่างถ่องแท้นั้น เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะสร้างผลดีให้แก่เรา

เพราะหากปราศจากการค้นหาและตรวจสอบแล้ว เราก็อาจตกเป็นเหยื่อของสารแห่งความเกลียดชังเข้าได้โดยง่าย

ข่าวล่าสุด

ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต “เชษฐ์ปาดัง” เลขานายกปาดังเบซาร์