เจ้าจอมมารดาสำลี ในรัชกาลที่ 4
อีกหลักฐานหนึ่งแห่งความไว้วางพระราชหฤทัยก็คือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งกับประเทศฝรั่งเศส
อีกหลักฐานหนึ่งแห่งความไว้วางพระราชหฤทัยก็คือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งกับประเทศฝรั่งเศส (วิกฤตการณ์ ร.ศ.112) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตรอมพระราชหฤทัยมาก ถึงกับมีพระราชประสงค์จะเสด็จสวรรคต และได้ทรงพระราชนิพนธ์ความในพระราชหฤทัยขึ้นมา และพระราชนิพนธ์นั้นได้ทรงส่งไปพระราชทานพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรีฯ โดยพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรีฯ ได้ทรงพระนิพนธ์โคลงสี่สุภาพถวาย ความว่า
สรวมชีพข้าบาทผู้ ภักดี
พระราชเทวีทรง สฤษฎ์ให้
สุขุมาลมารศรี เสนอยศ นี้นา
ขอกราบทูลท่านไท้ ธิราชเจ้าจอมสยาม
ประชวรหนักอกข้า ทั้งหลาย ยิ่งแล
ทุกทิวาวันบวาย คิดแก้
สิ่งใดซึ่งจักมลาย พระโรค เร็วแฮ
สุดยากเท่าใดแม้ มากม้วยควรแสวง
หนักแรงกายเจ็บเพี้ยงเท่าใด ก็ดี
ยังบหย่อนหฤทัย สักน้อย
แม้พระจะด่วนไกล ข้าบาท ปวงแฮ
อกจะพองหนองย้อย ทั่วหน้าสนมนาง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพระมเหสีชั้นลูกหลวงอีกสามพระองค์จะได้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระอัครมเหสีหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปก็ตาม แต่พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี กลับมิเคยได้ดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีเลยจนตลอดรัชกาลที่ 5 (เพิ่งจะได้โปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าฯ พระอัครราชเทวี ในรัชกาล 7 นี้เอง จากนั้นจึงถือว่าทรงดำรงพระยศพระอัครมเหสีพระองค์หนึ่งในรัชกาลที่ 5 ด้วย แต่การสถาปนาก็กระทำขึ้นเมื่อเวลาได้ล่วงไปแล้วถึง 2 แผ่นดิน) พระองค์จึงทรงดำรงพระฐานะอยู่ในลำดับกลางๆ เสมอมา ซึ่งอาจเพราะเหตุนี้ ถึงกับได้มีพระดำรัสว่า “แม่นี้เป็นมนุษย์ที่อาภัพ” ดังจะเห็นได้จากพระราชหัตถเลขาพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต) ความว่า
“ในที่สุด โอวาทของแม่ฉบับนี้แม่ขอบอกแก่พ่อผู้เป็นลูกที่รักและที่หวังความสุขของแม่ให้ทราบว่า ตัวแม่นี้เป็นมนุษย์ที่อาภัพ มักจะได้รับความทุกข์อยู่เป็นเนืองนิจ แม่มิได้มีอันใดซึ่งเป็นเครื่องเจริญตาเจริญใดอันจะดับทุกข์ได้ นอกจากลูก เมื่อเวลาที่พ่อยังอยู่กับแม่แต่เล็กๆ มา ถึงหากว่าแม่จะมีความทุกข์มาสักเท่าใดๆ เมื่อแม่ได้เห็นหน้าลูกแล้ว ก็อาจจะระงับดับเสียได้ด้วยความรักความยินดีของแม่ในตัวลูก ก็ในเวลาซึ่งพ่อไปเล่าเรียนในประเทศยุโรปนี้ พ่อจงรู้เถิดว่า ข่าวความงามความดีของพ่อนั้น และจะเป็นเครื่องดับความทุกข์ของแม่ และอย่าประพฤติชั่วนอกคำสั่งสอนของแม่ จงตั้งหน้าเล่าเรียนให้ได้รับความรู้โดยเร็ว จะได้กลับมาหาแม่โดยไม่นานปี”
เรื่องพระอิสริยยศของสมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรีฯ นี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ได้ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือเล่าชีวิต ว่า
“ในรัชกาลที่ 5 ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระนางเจ้าฯ พระราชเทวีอยู่ตลอดรัชกาล โดยเหตุอันใดผู้เขียนไม่เคยได้ทราบ มีพระราชโอรสธิดาประสูติ 2 พระองค์ การที่ท่านไม่ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จฯ นั้นเป็นของแปลก เพราะพระเจ้าอยู่หัวโปรดรักใคร่ไว้วางพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง”
ถึงแม้ว่าจะเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง แต่พระองค์ก็ไม่เคยทรงลืมความกตัญญูต่อเจ้าคุณจอมมารดาสำลี พระมารดา แม้ว่าท่านจะเป็นสามัญชนก็ตามที พระอิสริยยศที่สูงส่งเป็นถึงพระมเหสี มิได้ทำให้ทรงขาดความเคารพต่อพระมารดาแม้แต่น้อย แม้ว่าเจ้าคุณจอมมารดาจะโมโหดุว่าอย่างไร พระองค์ก็ไม่ทรงตอบโต้ ทรงเอาพระทัยดูแลพระมารดาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และในฐานะพระเชษฐภคินี ทรงรักใคร่พระกนิษฐามาก มีรับสั่งย้ำกับพระราชโอรสและพระราชนัดดาเสมอว่า แม่มีลูกสองคน แต่มีน้องเพียงคนเดียว ลูกรักแม่อย่างไรก็ขอให้รักน้าอย่างนั้นด้วย ซึ่งพระราชโอรสพระราชธิดาตลอดจนพระนัดดาก็ได้ทรงรับสนองพระราชเสาวนีย์ด้วยดี พระนัดดานั้นทรงเรียกสมเด็จฯ ว่า “เสด็จย่า” และเรียกเสด็จฯ อธิบดีว่า “เสด็จย่าพระองค์เล็ก”
เมื่อเจ้าคุณจอมมารดาสำลี ถึงแก่พิราลัยในปี 2443 ขณะมีอายุได้ 65 ปีนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเกียรติเป็นพิเศษ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญศพตั้งในท้องสนามหลวง โดยในวันพระราช ทานเพลิง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องขาวและให้พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นลูกเธอในรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 รวมไปถึงพระราชนัดดาทรงเครื่องขาวด้วย นับเป็นเกียรติยศสูงสุดที่โปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่เจ้าคุณจอมมารดาสำลีในวาระสุดท้าย


