แร้งภูเขาทอง
ช่วงรัตนโกสินทร์ถึงปลายๆ รัชกาลที่ 5 เมืองไทยยังมีเหตุการณ์ “อีแร้งกินศพ”
ช่วงรัตนโกสินทร์ถึงปลายๆ รัชกาลที่ 5 เมืองไทยยังมีเหตุการณ์ “อีแร้งกินศพ” อยู่ใจกลางเมืองหลวงอยู่เลย ปรากฏหลักฐานเป็นภาพขาวดำยืนยันชัดเจน
นั่นคือเรื่องราวของแร้งภูเขาทอง หรือแร้งวัดสระเกศ ซึ่งเคยรับบท “สัปเหร่อแห่งสัปเหร่อ” รุมกินซากคนที่เสียชีวิตด้วยโรคระบาดจน “สัปเหร่อคน” จัดการไม่ทัน ต้องส่งต่อให้ “สัปเหร่อนก” มาช่วยกำจัดศพอีกที
เมื่อวิเคราะห์ภาพถ่ายเก่าๆ เหล่านั้น น่าเชื่อว่าอีแร้งส่วนใหญ่ที่ภูเขาทองเป็นพันธุ์ที่ชื่อว่า อีแร้งเทาหลังขาว (Whiterumped Vulture) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นนกประจำถิ่นที่มีเกลื่อนกลาดบ้านเราเชียวละ
แต่ก็ประสาอีแร้งเมืองไทย ไหนเลยจะใช้ชีวิตอยู่ได้ในท่ามกลางความเจริญทางวัตถุ อันสวนทางกับความดิบเถื่อนในกมลสันดานที่ไม่พัฒนาตามวัตถุไปด้วย ดังจะพบพฤติกรรมรังแกสัตว์อย่างกว้างขวางในหมู่คนไทย
ล่าสุด ก็คนงานโรงปูนทีพีไอที่เป็นข่าวอื้อฉาว เจอเลียงผาหลงมาก็กระหน่ำตีด้วยท่อแป๊บอย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับว่าเลียงผาเคยไปกระหน่ำตีหัวตานี่มาแต่ชาติปางก่อน
ดูเหมือนรายงานของอีแร้งเทาหลังขาวฝูงสุดท้ายของไทยจะพบมาลงกินซากสัตว์แถวโรงฆ่าสัตว์ที่ จ.ปัตตานี โน่น นั่นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว
และเช่นกัน อีแร้งเทาหลังขาวยังคงพบได้ในป่าของกัมพูชา เป็น 1 ใน 3 อีแร้งเขมร ที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักฝรั่งให้ดั้นด้นค้นหาฝ่าป่าร้อนตับแลบกันไป
เมื่อตรวจสอบสถานภาพระดับโลกของมัน ก็พบว่าอีแร้งเทาหลังขาวเข้าขั้นอีแร้งเทพกับเขาด้วย เพราะนาทีนี้ถือว่าใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤต (Critically Endangered)
ในอดีต อีแร้งเทาหลังขาวเคยมีเกลื่อนกลาดในประเทศอินเดีย แต่พวกมันพากันร่วงหล่นจากท้องฟ้าแบบว่าตายเป็นเบือ โดยสาเหตุเกิดจากการกินซากปศุสัตว์ที่เคยผ่านการใช้ตัวยาคลายกล้ามเนื้อไดโคลฟิแนกมาก่อน
ที่เนปาล อีแร้งเทาหลังขาวมักร่อนมาให้ถ่ายรูปทีละตัวหรืออย่างมากก็เป็นคู่ ถึงตัวจะเล็กกว่าพันธุ์อื่นๆ ส่วนใหญ่ แต่สีสันขาวตัดดำ ผมให้คะแนนเป็นอีแร้งที่สวยที่สุดตัวหนึ่ง


