รัฐเป็ดง่อยมีอำนาจแต่บริหารเศรษฐกิจไม่ได้
สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้อยู่ในขั้นวิกฤต เมื่อมวลชนจำนวนมากออกมาต่อต้านรัฐบาลให้คืนอำนาจการบริหารประเทศให้กับประชาชน
โดย...เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง
สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้อยู่ในขั้นวิกฤต เมื่อมวลชนจำนวนมากออกมาต่อต้านรัฐบาลให้คืนอำนาจการบริหารประเทศให้กับประชาชน จนนำไปสู่ความรุนแรงมีการเสียเลือดเนื้อและชีวิต
แม้ว่าในวันนี้ในทางนิตินัยรัฐบาลยังรักษาอำนาจการบริหารประเทศไว้ได้
แต่ในทางพฤตินัยแล้ว รัฐบาลไม่สามารถบริหารจัดการบ้านเมืองได้ โดยเฉพาะในด้านการบริหารเศรษฐกิจที่หยุดนิ่งตั้งแต่มีการเริ่มชุมนุมของผู้ประท้วง ทำให้หุ้นตกเศรษฐกิจร่วง
ยิ่งเมื่อผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลได้เข้ายึดหน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม ส่งผลให้การบริหารงานทางเศรษฐกิจของรัฐบาลหยุดชะงักทันที ไม่สามารถเดินต่อไปได้
ถึงรัฐบาลจะออกมาบอกว่าการบริหารเศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อไปได้ เพราะมีการย้ายผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ไปทำงานนอกกระทรวง ก็เป็นเรื่องแก้หน้าทางการเมืองเท่านั้นว่าหน่วยงานเศรษฐกิจยังให้บริการประชาชนได้
แต่ในความเป็นจริงข้าราชการส่วนใหญ่มากกว่าครึ่งของหน่วยงานเศรษฐกิจต่างๆ ที่ถูกผู้ชุมนุมยึดต้องนอนอยู่บ้าน เพราะไม่มีที่ทำงาน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ กระทรวงการคลัง ที่มีการย้ายไปทำงานที่ศูนย์ราชการ แต่ต่อมาในภายหลังศูนย์ราชการก็ถูกผู้ชุมนุมเข้ายึดอีก ทำให้ต้องย้ายที่ทำงานรอบใหม่ไม่เป็นอันทำงาน และการปิดศูนย์ราชการมีหน่วยงานราชการอื่นปิดอีกจำนวนมาก ซึ่งมีผลกระทบกับเศรษฐกิจทั้งนั้น เพราะหน่วยงานต่างๆ ไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนของหน่วยงานตัวเองได้
ภาวะที่เกิดขึ้นทำให้การบริหารเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปไม่ได้ หลายอย่างต้องหยุดชะงัก หลายโครงการลงทุนไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ แผนงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลพังทลาย จนสะท้อนออกมาทางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตเหลือแค่ 3% แต่ผ่านไปได้ไม่กี่วันมีการชุมนุมประท้วงจนเป็นวิกฤตการเมืองรอบใหม่ ทำให้รัฐบาลออกมายอมรับว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มสูงโตต่ำกว่า 3%
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะรัฐบาลยอมรับว่าการประท้วงส่งผลกระทบทำให้รัฐบาลบริหารเศรษฐกิจไม่ได้ การเบิกจ่ายงบประมาณไตรมาสแรกของปีให้ได้ 67 แสนล้านบาท ผ่านมา 2 เดือน เบิกได้ไม่ถึงครึ่ง ส่วนใหญ่เป็นงบประจำ ในส่วนของงบลงทุนที่มีจำนวนกว่า 1 แสนล้านบาท มีการเบิกได้ไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาท เพราะการเบิกจ่ายทำไม่ได้
หน่วยงานของรัฐบาลถูกปิดไม่สามารถจัดซื้อจัดจ้างโครงการใหม่ได้ ขณะที่โครงการที่อยู่ระหว่างการเบิกจ่ายก็มีปัญหาเบิกค่างวดไม่ได้ เพราะเอกสารส่วนใหญ่อยู่ในกระทรวงที่ถูกยึด ส่งผลให้การเบิกจ่ายภาครัฐที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญพังทลายลง
โครงการบริหารจัดการน้ำจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ตกม้าตายเบิกจ่ายไม่ได้ เพราะรัฐบาลยังไม่ได้ผ่านการทำประชาพิจารณ์เรื่องผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมาในหลายจังหวัดก็ไม่ต่างอะไรกับวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้น มีการประท้วงจนเกิดความวุ่นวายรุนแรง จนทำให้การทำประชาพิจารณ์ในหลายจังหวัดต้องล่ม และมีหลายจังหวัดที่รัฐมนตรีรับผิดชอบเข้าไปดำเนินการเปิดปิดงานไม่ได้ เพราะชาวบ้านประท้วงต่อต้านไม่เห็นด้วย
โครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งจาก พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่รัฐบาลวาดฝันว่าจะพลิกประเทศไทย มีการโรดโชว์ใช้เงินไปแล้ว 400 ล้านบาท แต่กฎหมายยังไม่ผ่าน เพราะถูกส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดรัฐธรรมนูญถูกตีตก ทำให้การลงทุนทั้งหมดแท้งในทันที
ขณะที่การโรดโชว์ตามจังหวัดต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจกระตุ้นการลงทุนนั้น ถึงตอนนี้รัฐมนตรีทั้งสองคน คือ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กับชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ยังลงพื้นที่ไปเปิดงานไม่ได้ ต้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งไม่รู้แม้กระทั่งว่างบประมาณในจังหวัดตัวเองได้รับจัดสรรมาเท่าไหร่ ลงทุนในโครงการอะไรบ้าง เป็นประธานในพิธีเปิด
โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลที่ต้องมีการหาเงินมารับจำนำข้าวรอบใหม่ 2.7 แสนล้านบาท ก็ติดหล่มเต็มไปด้วยปัญหาเงินชักหน้าไม่ถึงหลัง กู้เงินใหม่ไม่ได้ เพราะเกินกรอบที่กำหนดไว้ ส่งผลให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไม่มีเงินจ่ายชาวนา เพราะไม่ได้รับเงินระบายข้าวจากกระทรวงพาณิชย์ เพราะกระทรวงพาณิชย์ขายข้าวไม่ได้ จนโครงการรับจำนำข้าวอยู่ในขั้นวิกฤต
ขนาดการออกพันธบัตรกู้เงินของกระทรวงการคลังให้ ธ.ก.ส. เพื่อมาใช้หนี้เก่าของโครงการรับจำนำข้าวในรอบก่อนหน้านี้ยังขายออกไปได้แค่ 50% เพราะนักลงทุนและสถาบันการเงินไม่สนใจและเห็นว่ามีความเสี่ยงทั้งที่เป็นพันธบัตรที่ออกโดยกระทรวงการคลัง
ผลกระทบของรัฐบาลที่มีอำนาจ แต่บริหารงานไม่ได้ ยังส่งผลต่อการทำงบประมาณปี 2558 ที่รัฐบาลต้องเริ่มดำเนินการแล้ว เพื่อกำหนดกรอบแนวทางให้หน่วยราชการไปศึกษาแผนการลงทุนให้สอดคล้องกัน แต่ที่ผ่านมาต้องหยุดนิ่ง
เพราะรัฐมนตรีเศรษฐกิจหลายคนของรัฐบาลต้องใช้เวลากับการไปบริหารจัดการม็อบที่มาหนุนหลังรัฐบาลเพื่อสู้กับม็อบที่ต้านรัฐบาล
ภาวะที่เกิดขึ้น ทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ส่อแววชัดเจนว่าจะขยายตัวน้อยกว่าเป้าเป็นจำนวนมาก จากที่ประมาณการต้นปีจะขยายตัวได้ 56% แต่ล่าสุดในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมาหลายฝ่ายฟันธงว่าปีนี้ขยายตัวไม่ถึง 3%
วิกฤตการเมืองที่เป็นอยู่ ส่งผลให้รัฐบาลมีอำนาจ แต่ไม่มีความสามารถในการบริหารได้
ทุบโต๊ะลงไปได้เลยว่าถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไปเศรษฐกิจไทยในปีนี้ต่ำเตี้ยติดดิน ขยายตัวได้แค่ 22.5% ก็ถือว่าบุญโขแล้ว
สถานการณ์เช่นนี้ไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะจะมีผลกระทบระยะยาว โดยเฉพาะความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่จะลดลงอย่างรวดเร็ว และมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเครดิตความน่าเชื่อถือในอนาคตไม่ช้า
ความมั่งคั่งของคนไทยได้ถูกทำลายย่อยยับลงเมื่อพิจารณาจากตลาดหุ้นไทยตกอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่เชื่อมั่นการบริหารเศรษฐกิจภายใต้วิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นของรัฐบาลจะทำต่อไปได้
ความไม่มั่นใจเศรษฐกิจไทยจนทำให้ค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าอย่างรวดเร็วไปอยู่ที่ 32.30 บาทต่อเหรียญสหรัฐเข้าไปแล้ว เดือนเดียวนั้นค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไปแล้ว 3.54%
การที่รัฐบาลเป็นเป็ดง่อยมีอำนาจแต่บริหารเศรษฐกิจไม่ได้ ทั้งในเชิงนโยบายและปฏิบัติ ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในปีนี้เท่านั้น หากแต่จะลากเศรษฐกิจปีหน้าให้ทรุดตัวลงไปด้วย
ตัวเลขที่เคยคาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ 45% ไม่แน่อาจจะเหลืออยู่ 23%
เพราะเศรษฐกิจในปีหน้าจะไม่มีแรงขับเคลื่อนต่อเนื่องจากช่วงปลายปีนี้แม้แต่น้อย
แถมเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ ทั้งการส่งออก การบริโภค การลงทุน การใช้จ่ายภาครัฐ การผลิต ความเชื่อมั่นของเอกชนยังดับสนิท จากเศรษฐกิจและปัญหาการเมืองภายในประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูง
ผลที่ตามมาคือ เศรษฐกิจไทยในปีหน้ายังมองไม่เห็นฝั่ง
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้จนถึงไตรมาสแรกของปีหน้า ภาคเอกชนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประคับประคองธุรกิจของตัวเอง กำหนดหางเสือและกำหนดเป้าหมายของตัวเองใหม่
เพราะอาศัยนโยบายของรัฐในการขับเคลื่อนธุรกิจไม่ได้อีกแล้ว
ตั้งการ์ดให้รัดกุมกันก็แล้วกันพี่น้อง...


