ส่องอดีตวัดน้ำหนักปัจจุบัน พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
....วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
ได้อ่านคำให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์บางฉบับของ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับกลุ่มคนเสื้อแดง ก็พอจะเข้าใจได้ว่าคนเรานั้นเมื่อจับไม่มั่นคั้นไม่ตายมีหรือจะออกมายอมรับ เช่นเดียวกับการให้สัมภาษณ์ในตอนหนึ่งที่ พงษ์ศักดิ์ ออกมาแก้แทนคนเสื้อแดงในเรื่องที่มีกลุ่มคนไม่ทราบฝ่ายที่ปะปนอยู่กับคนเสื้อแดงได้ใช้อาวุธร้ายแรงออกมาทำร้ายทหารและประชาชนคนเสื้อแดงซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นการกระทำของผู้ก่อการร้ายว่า
“การก่อการร้ายมันต้องทำการวินาศกรรม แต่นี่ทหารไปยิงคนอื่นตายเยอะแยะ แล้วมีคนหนึ่งเป็นวีรบุรุษไปยิงช่วย เพื่อไม่ให้ทหารยิงคนตาย เพื่อให้ยุติการยิงไม่น่าไปเรียกเขาว่าผู้ก่อการร้าย ผมคิดว่าต้องเรียกเขาว่าวีรบุรุษ แต่เมื่อครั้นผู้ที่สัมภาษณ์ได้ถามต่อไปว่า” รัฐบาลก็บอกว่าคนชุดดำที่ออกมาไม่ได้ยิงทหารอย่างเดียว แต่ยิงคนเสื้อแดงตายด้วย พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล กลับตอบว่า “อันนี้ผมไม่ทราบเพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ไม่ได้เห็น ตอนนั้นอยู่ต่างประเทศเพิ่งได้ดูเทปเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง” (มติชนรายวัน วันที่ 26 เม.ย. 2553)ฟังคำให้สัมภาษณ์ของ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล แล้วน่าจะมาดูความเป็นไปเป็นมาของนักการเมืองผู้ที่เติบโตมาจากการเป็นนักธุรกิจค้าที่ดิน ทำบ้านจัดสรร ทำโรงเรียนนานาชาติที่สอนให้นักเรียนให้เอาแต่ได้คนนี้ดู
พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เกิดมาในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2494 หลังจบการศึกษาชั้นต้นก็เข้าศึกษาต่อจนจบระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมโยธา ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วก็ออกมาประกอบธุรกิจส่วนตัวทำบริษัทรับเหมาก่อสร้างในนามบริษัท กลอรี่ คอนสตรัคชั่น ทำธุรกิจบ้านจัดสรรในชื่อหมู่บ้านเกศินีวิลล์ และก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติเกศินี เนื่องจากเป็นนักธุรกิจผู้ให้ความสนใจในกีฬาฟุตบอล จึงได้เป็นประธานกีฬาฟุตบอลของสมาคมศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นอดีตอุปนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย
พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ได้ชี่อว่าเป็นนักธุรกิจที่ทำดำเนินธุรกิจที่เชื่อมั่นว่าการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยโดยเฉพาะธุรกิจรับเหมาก่อสร้างนั้นจะประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี จะต้องมีเส้นสายทางการเมืองและจะต้องวิ่งเข้าสู่วงจรแห่งอำนาจ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล จะเอาตัวเองและธุรกิจในเครือเกศินี เข้าไปผูกพันใกล้ชิดกับนักการเมืองและศูนย์กลางแห่งอำนาจทั้งหลายทั้งปวง ทำให้ธุรกิจในเครือเกศินีเจริญก้าวหน้ามาเรื่อยๆ จึงตัดสินใจเดินเข้าสู่วิถีทางการเมือง เมื่อมีความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นอย่างดีกับ อุทัย พิมพ์ใจชน จนได้รับตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการพรรคก้าวหน้า ในปี 2531 เป็นกรรมการบริหารพรรคเอกภาพในปี 2534 เป็นรองหัวหน้าพรรคเอกภาพ ในปี 2535 เป็นประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (อุทัย พิมพ์ใจชน) ในปี 2535 ต่อมาเมื่อ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ตั้งพรรคความหวังใหม่ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล คาดหวังว่าพรรคความหวังใหม่จะเป็นพรรคการเมืองที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จภายใต้การนำของทหารใหญ่อย่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จึงกระโดดเข้าไปร่วมหัวจมท้าย จนได้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารพรรคความหวังใหม่ ในปี 2539
ในช่วงปี 25392540 อันเป็นช่วงเวลาที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนักในประเทศไทย เป็นเหตุให้มีเศรษฐีจำนวนมากต้องตกอยู่ในสภาพล้มละลาย บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จำนวนมากได้ล้มหายตายจากไป กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของสนามกอล์ฟอัลไพน์ อันประกอบด้วยผู้คนในตระกูลเทียนทอง สุนีย์ ศรีอรทัยกุล แห่งบริษัท บิวตี้เจมส์ กรุ๊ป นพ.บุญ วนาสิน ประธานเครือโรงพยาบาลปิยะเวท สุกรีย์ ศรีผดุง ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท สยามทูยู ประยูร สงวนศิลป์ สรศักดิ์ ตั้งประกิจ เจ้าของหมู่บ้านเลิศอุบล และพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เจ้าของหมู่บ้านเกศินีวิลล์ ก็เริ่มตะเกียกตะกาย เพราะมีหนี้อยู่กว่า 300 ล้านบาท จึงอยากจะขายหุ้นเปลี่ยนมือไปเป็นของผู้อื่น โดยหมายมั่นปั้นมือไปที่มหาเศรษฐี ที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งขณะนั้นอำนาจการบริหารในเครือชินวัตรตกอยู่ในมือของ พจมาน ชินวัตร แต่เพียงผู้เดียว และหน้าที่ในการเป็นนายหน้าติดต่อซื้อขายสนามกอล์ฟอัลไฟน์ จึงตกเป็นของ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ประธานกรรมการบริษัท ในขณะนั้นเนื่องจากรู้จักมักคุ้นกับทักษิณ ชินวัตร มาก่อน และเคยพบปะสนทนาเรื่องการบ้านการเมือง เมื่อ ทักษิณ ชินวัตร มีแนวความคิดอยากจะตั้งพรรคการเมืองของตนเอง พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ได้ใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการเป็นนักประสานประโยชน์พูดจาโน้มน้าวและชักนำให้ ทักษิณ ชินวัตร ตัดสินใจซื้อสนามกอล์ฟอัลไพน์ได้เป็นผลสำเร็จในราคาสูงถึง 500 ล้านบาท ในนามส่วนตัว พจมาน ชินวัตร เอาเงินที่ขายได้ไปแบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้น ได้กำไรกันไปไม่น้อยเลย
แต่แล้วเรื่องราวของสนามกอล์ฟอัลไพน์ก็อื้อฉาวขึ้นมาในปี 2544 เมื่อมีการร้องเรียนให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าที่ดินจำนวน 924 ไร่ ของสนามกอล์ฟอัลไพน์ที่คลองหลวง จ.ปทุมธานี ของบริษัท อัลไพน์กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ และบริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท ซึ่งแต่เดิมเป็นของ
“ยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา” ซึ่งได้ทำพินัยกรรมยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของวัดธรรมิการามวรวิหาร จ.ประจวบคีรีขันธ์ นั้นว่าเป็นที่ “ธรณีสงฆ์” หรือไม่เนื่องจากยายเนื่อมได้ทำพินัยกรรม ลงวันที่ 20 พ.ย. 2512 ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 20 ต.คลองซอยที่ 5 ฝั่งตะวันออก (บึงตะเคียน) อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เนื้อที่ 730 ไร่ 1 งาน 51 ตารางวา และที่ดินโฉนดเลขที่ 1446 ต.บึงอ้ายเสียง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เนื้อที่ 194 ไร่ 1 งาน 24 ตารางวา ให้เป็นกรรมสิทธิ์วัดธรรมิการามวรวิหาร ต่อมาเมื่อยายเนื่อมเสียชีวิตลง เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2514 ปรากฏว่ายังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 2 แปลงดังกล่าวให้แก่วัด แต่มีพินัยกรรมข้อที่ 4 ระบุว่า
“ขอให้เจ้าอาวาสวัดธรรมิการาม จัดการมอบอสังหาริมทรัพย์ และจำนวนเงิน (ถ้ามี) ให้แก่มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ช่วยจัดผลประโยชน์เพื่อใช้บำรุง และใช้ผลประโยชน์นั้นบำรุงจตุปัจจัยแก่ภิกขุสามเณร หรือจรรโลงพระพุทธศาสนาโดยประการอื่น อาทิ การส่งเสริมการศึกษาคันถธุระและวิปัสสนาธุระ หรือบูรณะถาวรวัตถุในวัดธรรมิการามวรวิหาร สุดแต่เจ้าอาวาสวัดจะพิจารณาสมควรแก่กรณี” จุดนี้จึงกลายเป็นปัญหาว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวควรตกเป็นของวัดธรรมิการามวรวิหาร หรือมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย จนที่สุดได้มีการฟ้องร้องให้ตีความกฎหมายที่ดินขึ้นในขณะที่ เสนาะ เทียนทอง ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลที่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลกรมที่ดิน ก็ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการตีความประมวลกฎหมายที่ดินให้ที่ดินตกเป็นของมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ตามพินัยกรรมข้อ 4 ของยายเนื่อมจากนั้นเจ้าอาวาสวัดธรรมิการามวรวิหาร ก็ทำหนังสือถึงผู้อำนวยการมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ขอเปลี่ยนตัวผู้จัดการผลประโยชน์ให้กับวัดจาก
“วารุณี สมานวรวงศ์” เป็น วิทยา เทียนทอง น้องชายสุดรักของ เสนาะ เทียนทอง เมื่อมีการโอนที่ดินมรดกให้มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในวันที่ 21 ส.ค. 2533 ไม่นานมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยก็ได้ขายที่ดินของยายเนื่อมทั้งสองแปลงจำนวน 924 ไร่ ให้แก่บริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท และบริษัท อัลไพน์กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ ในราคาไร่ละ 1.5 แสนบาท เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 130 ล้านบาท โดยทั้งสองบริษัทดังกล่าวมีชื่อ วิทยา เทียนทอง เสนาะ เทียนทอง อุไรวรรณ เทียนทอง และชูชีพ หาญสวัสดิ์ เป็นผู้ถือหุ้น เมื่อที่ดินได้พัฒนาเป็นสนามกอล์ฟ บ้านและที่ดินเพื่ออยู่อาศัยก็ได้มีนักการเมือง นักธุรกิจ และข้าราชการระดับสูงที่สนิทสนมคุ้นเคยกับ เสนาะ เทียนทอง ได้เข้าไปซื้อหุ้นสนามกอล์ฟและบ้านจัดสรรหลายคน ในจำนวนนั้นมีเสี่ยเพ้ง หรือ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รวมอยู่ด้วยจากความสนิทสนมคุ้นเคยจนกลายเป็นผู้มีพระคุณที่ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล นักธุรกิจผู้ผ่านประสบการณ์ทางธุรกิจภายใต้การช่วยเหลือเกื้อกูลของนักการเมืองและผู้มีอำนาจบารมีมากหน้าหลายตา แต่ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ไม่เคยยึดมั่นในความกตัญญูรู้คุณกับผู้ใดเท่ากับที่มีให้ทักษิณและพจมาน ผู้ซื้อสนามกอล์ฟอัลไพน์ ถึงไปร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ได้รับตำแหน่งยิ่งใหญ่ทั้งในพรรคและในรัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักการเมืองหนุ่มที่มีความสนิทสนมและเป็นที่เสน่หาไว้วางใจอย่างยิ่งจากทักษิณและพจมาน แม้ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล จะยืนยันว่าวันนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทักษิณและพจมาน ในทางธุรกิจการเมืองใดๆ นอกจากความรักความกตัญญูรู้คุณที่จะต้องคอยตอบแทนกันเท่านั้น
แต่ในเมื่อนักธุรกิจการเมืองอย่าง พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ที่ยังไม่เคยใส่ใจในเรื่องบาปบุญคุณโทษของการทำมาหากินกับธรณีสงฆ์เลย ก็น่าคิดว่าแล้วคำพูดและพฤติกรรมต่างๆ ของ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล จะมีใครเขาเชื่อถือขนาดไหน


