งัดหลักฐานรัฐบาลสุรยุทธ์ยอมรับขึ้นทะเบียนพระวิหาร
นายกฯส่ง"สุรพงษ์"แจงปมพระวิหาร โชว์หลักฐาน สมัยสุรยุทธ์ยอมรับขึ้นทะเบียนพระวิหาร หวังศาลโลกพิพากษาแนวทางที่ดีสร้างสรรค์ต่อทั้งสองประเทศ
นายกฯส่ง"สุรพงษ์"แจงปมพระวิหาร โชว์หลักฐาน สมัยสุรยุทธ์ยอมรับขึ้นทะเบียนพระวิหาร หวังศาลโลกพิพากษาแนวทางที่ดีสร้างสรรค์ต่อทั้งสองประเทศ
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน กรณีศาลโลกอ่านคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร วันที่ 11 พย.นี้ว่า ข้อพิพาทเขาพระวิหารเกิดตั้งแต่ปี 2502 กัมพูชายื่นต่อศาลโลกในคดีปราสาทเขาพระวิหาร ในที่สุดปี 2505 ศาลโลกมีคำพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารตั้งบนดินแดนภายใต้อธิปไตยกัมพูชา หมายความว่าปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา และในคำสั่งศาลให้ไทยถอนทหารออกจากบริเวณปราสาท เป็นคำตัดสินเมื่อ 15 มิถุนายน 2505 ทันทีที่ศาลมีคำพิพากษา วันที่ 3 ก.ค. 2505 รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ออกแถลงการณ์แสดงความไม่เห็นด้วยต่อคำพิพากษาแต่ปฏิบัติตามในฐานะสมาชิกสหประชาชาติ และฉบับที่ 2 ซึ่งห่าง 3 วันให้หลัง มีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติแจ้งว่าไทยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา แต่จะปฏิบัติตามพร้อมสงวนสิทธิ์ในการทวงคืน ต่อจากนั้น ครม.ในสมัยนั้นมีมติให้ปฎิบัติตามคำพิพากษาพร้อมกำหนดขอบเขต ให้สร้างป้าย และสร้างรั้วล้อมรอบ จากนั้นประเทศไทยถอนกำลังออกจากประสาทพระวิหาร เคลื่อนเสาธงออกจากพื้นที่โดยไม่ได้นำธงชาติไทยลงจากยอดเสา นี่คือ 4 เหตุการณ์ที่ต้องเล่าให้ทราบ ซึ่งเป็น 4 เหตุการณ์ใน 1 เดือน ว่ารัฐบาลขณะนั้นได้ทำอะไรในการแสดงออก
ส่วนกรณีที่เกิดกระแสปลุกปั่นยุยงในเรื่องคดีปราสาทพระวิหารในขณะนี้ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า หากนำข้อมูลจริงมาดำเนินการก็ไม่ว่ากัน แต่จากที่ตนได้ศึกษารายละเอียดพบว่าเอกสารบางส่วนขาดหายไป การยั่วยุของกลุ่มคนก็จะเกิดปัญหาขึ้นได้ สมัยรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งมีนายนนพดล ปัทมะเป็นรมว.ต่างประเทศ ก็พยายามคัดค้านขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร ในที่สุดในการประชุมมรดกโลก มีมติให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาท ซึ่งตนไปเจอหลักฐานว่าไม่ใช่สมัยรัฐบาลสมัครที่ไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก แต่ในสมัยของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นนายกฯ ซึ่งในการประชุมฯ ไทยและกัมพูชาเห็นพ้องต้องกันในการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และมีหนังสือแถลงการณ์แสดงความยินดี
"เป็นเอกสารที่ผมเพิ่งพบเจอ และเป็นเอกสารลับมาก เป็นเอกสารที่รมว.ตปท.ขณะนั้นทำถึงท่านสุรยุทธ์ จุลานนท์ เมื่อ 9 ก.ค. 2550 ระบุว่าที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกมีฉันทามติเกี่ยวกับการที่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยขั้นตอนการขึ้นทะเบียนอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งไทยและกัมพูชาตกลงอย่างเข้มแข็งในการทำแผนอนุรักษ์และบริหารจัดการพื้นที่ร่วมกัน และในหนังสือฉบับนี้ ยังได้เขียนว่าฝ่ายไทยได้ออกแถลงข่าวแสดงความยินดีต่อประเทศและประชาชนกัมพูชา พร้อมแสดงเจตนาอย่างมุ่งมั่นในการอนุรักษ์ และบริหารจัดการพื้นที่ร่วมกันต่อไป" นายสุรพงศ์ กล่าว
ประเด็นขณะนั้น กัมพูชาต้องการให้พื้นที่รอบข้างด้วยในการขึ้นทะเบียน พอมาสมัยท่านสมัครเข้ามาปี 2551 ไทยพยายามรักษาสิทธิทางเขตแดนจึงประท้วงและคำขอขึ้นทะเบียนของกัมพูชา จนกัมพูชาปรับคำขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือ มีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยที่ 32 ในสมัยรัฐบาลสมัคร ข้อมูลในช่วงรัฐบาลสุรยุทธ์หายไป หลักฐานที่กระทรวงการต่างประเทศเตรียมมาข้ามประเด็นตรงนี้ไป สังคมก็ไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริง พวกกลุ่มที่ปลุกระดมคน คือพันธมิตรก็ปลุกระดมคนให้ประท้วง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วรัฐบาลสมัครไม่ได้ทำความผิดแล้ว แต่ทำประโยชน์ด้วยซ้ำ แต่เมื่อมันเกิดไปแล้ว ตอนนี้ยังมีคนนำประเด็นเหล่านี้มาเพื่อที่จะเป็นประเด็นทางการเมือง ผมเลยขออนุญาตท่านนายกฯนำข้อมูลมาเปิดเผย เพราะผมไม่อยากเห็นสังคมเกิดความขัดแย้ง แตกแยก ถ้าเหตุการณ์ทุกอย่างเป็นข้อเท็จจริงแล้วประชาชนไม่คล้อยตาม กลุ่มยั่วยุก็ไม่สามารถทำสำเร็จ
"เหตุการณ์ทั้งหมดหลังมีการประท้วงของกลุ่มพันธมิตร สมัยรัฐบาลสมัคร มาถึงสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เกิดเหตุปะทะตามแนวชายแดน และช่วงสุดท้ายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็เกิดการปะทะอย่างรุนแรง ที่สุดกัมพูชาขอให้ศาลโลกตีความปราสาทพระวิหารและขอให้ศาลโลกออกคำสั่งมาตรการชั่วคราวขึ้นมา ท่านฮอร์ นัม ฮงก็พูดชัดเจนว่าเหตุผลที่นำเรื่องนี้ไปขึ้นศาลโลกเพราะตอนนั้นเกิดการปะทะรุนแรง ไม่อยากเห็นการปะทะ ถ้ารัฐบาลคุยกันได้ก็ไม่อยากนำขึ้นศาลโลกเลย ขณะที่สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้งคณะกรรมการสู้คดีและอนุมัติงบประมาณ 129ล้านบาท ไปสู้คดี ขึ้นศาลครั้งแรก 30-31 พ.ค. ในขณะนั้น แต่ขณะนั้นรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้มีการถ่ายทอดสด คนก็ไม่รู้ว่ามีคดี โชคดีที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามา ผมมานั่งรมว.ตปท. ผมมาดูข้อมูล รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ตัดสินใจให้มีการถ่ายทอดสด ขณะที่ผมยังถูกกล่าวหาว่าผมบีบบังคับไม่ให้สู้คดีเต็มที่ แต่จะเห็นว่าวันสุดท้ายท่านทูตวีรชัยขออนุญาตให้คำกล่าวที่รุนแรงในการสู้คดี ท่านมาขออนุญาตผม ผมก็บอกว่าในเรื่องคดีก็ต้องเอาเต็มที่ แต่เมื่อคดีสิ้นสุด เราค่อยมาตกลงกัน เจรจากัน"นายสุรพงษ์ กล่าว
นายสุรพงษ์ กล่าวถึง ความเป็นไปได้ของคำพิพากษาศาลโลกว่า เท่าที่ติดตามการพิพากษาของศาลโลก จะให้ทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ด้วยกันได้ด้วยความสันติสุข และคาดว่าศาลโลกคงจะตัดสินกรณีพิพาทไทยกัมพูชาในทางสร้างสรรค์ให้สองฝ่ายอยู่ด้วยกันได้ แต่สิ่งที่ห่วงคือ เกิดคำพิพากษาออกมาทางลบ ความวุ่นวายต่างๆอาจจะเกิดขึ้นก็ได้ เป็นสิ่งที่นายก ฯ และนายกฮุนเซนก็พูดคุยกันว่าไม่อยากเห็นความแตกแยก หรือกระทบความสัมพันธ์ ซึ่งจากการที่ตนไปพบ นายฮอร์นัมฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชา ว่า ถ้าออกมาทางลบเราต้องให้เวลาซึ่งกันและกัน และภายใต้ระบอบประชาธิไตยก็ต้องเคารพการแสดงออกของแต่ละฝ่าย เพราะทางไทยเองก็มีเรื่อง มาตรา 190
"ที่ผมห่วงคือการปลุกกระแสคลั่งชาติ โดยไม่ได้ดูถึงข้อเท็จจริง เหมือนสมัยรัฐบาลสมัครที่มีกลุ่มปลุกกระแส และพรรคฝ่ายค้านไปร่วม ก็เลยทำให้เกิดปัญหา ความเป็นมิตรของประเทศก็ขาดหายไป ไม่อยากให้เกิดสิ่งเหล่านี้ ผมเลยมาพูดให้ฟังในรายการนี้ว่าเหตุการณ์ต่อเนื่องมาทุกรัฐบาลและทุกรัฐบาลต้องรับผิดชอบร่วมกัน ผมเคารพในการใช้สิทธิ์ในการแสดงออก แต่ก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนในบริเวณนั้นด้วย" นายสุรพงษ์ กล่าว


