เมื่อกฏหมายต่างชาติมีผลกระทบโดยตรงกับสถาบันการเงินไทย (ตอนจบ)
เมื่อตอนที่แล้วได้กล่าวถึงกฎหมายที่จะช่วยป้องกันวิกฤตทางการเงินในอนาคตของมหาอำนาจ ว่าจะมีผลกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อมกับสถาบันการเงินไทยอย่างไร
เมื่อตอนที่แล้วได้กล่าวถึงกฎหมายที่จะช่วยป้องกันวิกฤตทางการเงินในอนาคตของมหาอำนาจ ว่าจะมีผลกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อมกับสถาบันการเงินไทยอย่างไร
จะขอกล่าวถึงรายละเอียดในกรณีตามข้อ (ก) นั้น สถาบันการเงินในประเทศไทยอาจยังคงมีหน้าที่ต้องเข้าทำธุรกรรมผ่านหรือโอนสิทธิและหน้าที่ตามธุรกรรมให้แก่ Central Clearing Counterparty (CCP) ตามข้อกำหนดของ EMIR หากเข้าทำธุรกรรมอนุพันธ์บางประเภทกับสถาบันการเงินที่ตั้งอยู่ในสหภาพยุโรปที่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าธุรกรรมอนุพันธ์ (Swap Dealer) ส่วนในกรณีตามข้อ (ข) นั้น สาขาที่ตั้งอยู่นอกประเทศสหรัฐอเมริกาของสถาบันการเงินประเทศสหรัฐอเมริกาที่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าธุรกรรมอนุพันธ์ (Swap Dealer) ตาม DoddFrank จะมีหน้าที่เพียงทำตามกฎเกณฑ์ของประเทศที่สาขาดังกล่าวตั้งอยู่เท่านั้น
การดำรงหลักประกัน (Margin) สำหรับกรณีที่สถาบันการเงินในประเทศไทยแต่งตั้ง Clearing Member เพื่อดำเนินการให้มีการโอนสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับธุรกรรมอนุพันธ์บางประเภทดังกล่าวข้างต้นให้แก่ Central Clearing Counterparty (CCP) โดยผ่านทาง Clearing Member นั้น ยังมีผลที่ตามมาในด้านอื่นๆ อีก ยกตัวอย่างเช่น การดำรงหลักประกัน (Margin) การดำรงหลักประกัน (Margin) นั้นเกิดจากแนวคิดเพื่อลดความเสี่ยงในคู่สัญญา (Counterparty Risk)
เช่น กรณีที่คู่สัญญาผิดนัดไม่ชำระเงิน หรืออยู่ในสถานะล้มละลาย (Insolvency) เป็นต้น เพราะฉะนั้น Central Clearing Counterparty (CCP) ก็จะกำหนดให้ Clearing Member วางหลักประกันเบื้องต้น (Initial Margin) และวางหลักประกันในขั้นต่อมา (Variation Margin)
ขณะเดียวกัน Clearing Member ก็จะมากำหนดในสัญญากับลูกค้าของตน เช่น สถาบันการเงินในประเทศไทย ให้วางหลักประกันต่างๆ ดังกล่าวกับ Clearing Member
ปัจจุบันมีการนำเสนอวิธีการคำนวณหลักประกัน (Margin) แบบต่างๆ นอกจากนี้ยังมีหลักประกัน (Margin) ที่ Central Clearing Counterparty (CCP) คำนวณจากความเสียหายที่ตัวเองต้องได้รับหาก Clearing Member ที่ตัวเองมีความเสี่ยงอยู่ด้วยมากที่สุดสองอันดับแรกนั้นผิดนัด (Default Fund Exposure) จะเห็นได้ว่าการคำนวณหลักประกันเหล่านี้มีความแตกต่างไปจากการให้หลักประกันในกรณีของธุรกรรมอนุพันธ์ที่ไม่มีการโอนสิทธิและหน้าที่ให้แก่ Central Clearing Counterparty (CCP) และอาจก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น
สถาบันการเงินซึ่งจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบ จึงต้องทำความเข้าใจถึงผลที่ตามมาของการที่ธุรกรรมอนุพันธ์ที่ตนทำบางประเภท อาจถูกบังคับให้ต้องมีการโอนสิทธิและหน้าที่ไปยัง Central Clearing Counterparty (CCP)
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญเกี่ยวกับ DoddFrank คือ DoddFrank ISDA Protocol เนื่องจาก Dodd Frank เป็นกฎหมายที่ส่งผลกระทบผู้ประกอบธุรกิจในตลาดธุรกรรมอนุพันธ์อย่างกว้างขวาง International Swaps and Derivatives Association (ISDA) จึงได้จัดทำ Protocol (คล้ายกับสนธิสัญญา แต่เป็นระหว่างภาคเอกชน) ขึ้นมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้คู่สัญญา ISDA Master Agreement สามารถแก้ไขสัญญาดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ดังที่กล่าวมาข้างต้น DoddFrank ได้กำหนดหน้าที่แก่สถาบันการเงินที่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าธุรกรรมอนุพันธ์ (Swap Dealer) ให้ต้องทำตามข้อกำหนดต่างๆ มากมาย ทำให้สถาบันการเงินที่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าธุรกรรมอนุพันธ์ (Swap Dealer) จำเป็นต้องขอให้คู่สัญญาของตน เช่น สถาบันการเงินในประเทศไทย พิจารณาแก้ไขข้อสัญญาเพื่อให้ตนสามารถปฏิบัติตามหน้าที่ดังที่ DoddFrank กำหนดได้
ยกตัวอย่างเช่น เนื่องจากสถาบันการเงินที่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าธุรกรรมอนุพันธ์ (Swap Dealer) ต้องรายงานข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมบางประเภทไปยังหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง จึงต้องขอให้คู่สัญญาของตนให้ความยินยอมในการที่ตนจะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เป็นต้น
คู่สัญญาย่อมมีสิทธิเลือกที่จะยินยอมแก้ไขสัญญาดังกล่าวหรือไม่ก็ได้ และหากยินยอมจะแก้ไขสัญญาดังกล่าวโดยการเข้าร่วม (Adhere) เป็นภาคีในสนธิสัญญาภาคเอกชนอย่าง DoddFrank ISDA Protocol เพื่อให้การแก้ไขสัญญาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ มีมาตรฐานเดียวกัน และสามารถแก้ไขสัญญากับคู่สัญญาที่เข้าร่วมเป็นภาคีในสนธิสัญญาภาคเอกชนอย่าง DoddFrank ISDA Protocol พร้อมกันทีละหลายรายในคราวเดียว หรือโดยการเจรจาต่อรองกับคู่สัญญาของตนที่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าธุรกรรมอนุพันธ์ (Swap Dealer) เป็นรายกรณี (Bilateral Amendment) ไปก็ได้
EMIR ระบุให้คู่สัญญาธุรกรรมอนุพันธ์ต้องทำการไกล่เกลี่ยเพื่อปรับข้อมูลมูลค่าธุรกรรมให้ตรงกัน
สถาบันการเงินที่อยู่นอก EU เมื่อทำธุรกรรมกับคู่สัญญาที่อยู่ใน EU (อาจรวมถึงสาขาที่ตั้งอยู่นอก EU ด้วย) ต้องให้ความร่วมมือในการไกล่เกลี่ยปรับปรุงข้อมูล หรือระงับข้อพิพาทอันเกี่ยวกับมูลค่าของธุรกรรม อนุพันธ์ตามที่ EMIR กำหนด ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. 2556 เป็นต้นไป
การปรับปรุงข้อมูลต้องทำบ่อยครั้งเพียงใด ขึ้นอยู่กับว่าจำนวนของธุรกรรมที่คงค้างอยู่ และสถานภาพของคู่สัญญาว่าตาม EMIR จัดให้เป็น Financial Counterparty (FC), NonFinancial Counterparty above Clearing Threshold (NFCT) หรือเป็น NonFinancial Counterparty (NFC)
ในกรณีของ DoddFrank กฎของ CFTC ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยให้เริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค. 2556 เป็นต้นไป
ธุรกรรมอนุพันธ์มีวัตถุประสงค์หลักที่จะเปลี่ยนความเสี่ยงทางอัตราราคาของสินทรัพย์ที่ผันผวน (Market Risk) มาเป็นความเสี่ยงทางด้านเครดิต (Credit Risk) กฎหมาย DoddFrank และ EMIR จะเปลี่ยนความเสี่ยงด้านเครดิตมาเป็นความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) หรือไม่ และจะทำให้ CCP เป็นสถาบันที่ Too Big To Fail อีกหรือไม่ คงต้องติดตามชมกันต่อไป
แต่ปัญหาเฉพาะหน้า คือ กฎหมาย FATCA, DoddFrank และ EMIR ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสถาบันการเงินไทย ซึ่งสถาบันการเงินไทยต้องเร่งทำความเข้าใจและบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างถูกต้อง


