รู้ทันแอลกอฮอล์ ดื่มแค่ไหนก่อนขับรถ

โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ

คนจะดื่มเหล้า ไปห้ามคงห้ามลำบาก เผลอๆ อาจมีหมัดมวยทะเลาะเหตุมาขวางการยกจอกสุราก็เป็นได้ แต่การดื่มที่ดี หากมีความรับผิดชอบก็คงไม่เป็นภัยที่จะมาสร้างความเดือดร้อนต่อสังคมเท่าใดนัก

ยิ่งหากเมาแล้วขับไปด้วย ความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น แถมยังเสี่ยงต่อการเจอ “ด่าน” ตรวจเมาของตำรวจ ที่ตั้งอยู่ทั่วทุกหัวระแหง หากเมาเข้ามาด่านก็เจอตรวจวัดแอลกอฮอล์ทุกราย เสร็จจราจร จับปรับ นอนคุกกันให้สาแก่ใจความเมา

เมื่อเลี่ยงกันไม่ได้ ตำรวจในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมาย ทั้งปราบปราม ป้องปราม โดยเฉพาะตำรวจตรวจเมาอย่าง พ.ต.อ.วีระวิทย์ วัจนะพุกกะ ผกก.5 กองบังคับการตำรวจจราจร ที่รู้เต็มอกว่าการห้ามให้คนไปเมาเป็นเรื่องยาก ดังนั้นเมื่อรู้ดีว่าห้ามไม่ได้ การแนะนำการดื่มอย่างถูกวิธีจึงน่าจะเป็นทางออกที่สวยหรูที่สุด

พ.ต.อ.วีระวิทย์ เล่าว่า เหล้ากับคนไทยเป็นของที่คู่กัน เพิ่มอรรถรสในความครื้นเครงสนุกสนานเป็นอย่างดี แต่การดื่มอย่างไรให้ถูกวิธีเพื่อไม่เป็นภัยต่อผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ที่ขอกันก็ง่ายๆ คือ ดื่มแล้วไม่ขับ แค่นี้เอง

“แต่หากเลี่ยงกันไม่ได้จริงๆ เพื่อนมาลากกันไป หรืองานเลี้ยงสังสรรค์ต่างๆ ที่จำเป็นเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะขับรถมาก็ตาม ผมก็มีวิธีแนะนำ”

สิ่งที่ พ.ต.อ.วีระวิทย์ แนะนำไว้ คือ หากจำเป็นต้องดื่มกันจริง ควรจะคำนวณเวลาการขับรถกลับไว้ด้วย คือ ก่อนการขับรถ 1 ชั่วโมง หมายความว่าในกรอบเวลา 1 ชั่วโมง ควรจะดื่มได้ในระดับที่พอควร คือ หากเป็นเหล้า ควรจะผสมโซดาน้ำ และสัดส่วนเหล้าในอัตรา 1 ฝา หรือฝาละ 15 ซีซี ไม่เกิน 6 แก้ว ที่สำคัญอย่าดื่มเพียวเด็ดขาด และห้ามมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นผสมสลับกันดื่มด้วย รวมถึงห้ามใช้หลอดดูดด้วย เพราะนั่นจะยิ่งทำให้ดื่มเหล้าแล้วเมาเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เบียร์ ในกรอบเวลาเดียวกัน หากเป็นไลท์เบียร์ สามารถดื่มได้ 4 กระป๋อง หรือ 4 ขวดเล็ก และหากเป็นเบียร์ธรรมดา ได้ไม่เกิน 2 กระป๋อง หรือ 2 ขวดเล็ก และไวน์ ในแก้วปริมาณ 80 ซีซี ได้ไม่เกิน 2 แก้ว หลายคนคิดว่าดื่มไวน์เป็นขวดก็ตรวจไม่เจอ เพราะปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เท่ากันกับดื่มเหล้า ถือเป็นความคิดที่ผิด ถ้าล่อกันเป็นขวดปริมาณแอลกอฮอล์จะเกินแน่นอนหากตรวจวัด ไม่เชื่อลองกันได้

ที่กล่าวไว้ข้างต้น ผกก.วีระวิทย์ ยืนยันว่าได้ผ่านการทดลองแล้ว และตรวจพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดที่อยู่ในระดับไม่เกินตามที่กฎหมายกำหนด คืออยู่ในระดับ 30 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมีสิ่งบอกเหตุให้ทราบด้วยอีกว่า คุณดื่มในปริมาณเท่าไหร่แล้ว เริ่มเมาในระดับไหนกัน

“ยกตัวอย่างเช่น หากรู้สึกสนุกสนานร่าเริงครื้นเครง ก็หมายถึงมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ราว 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หากรู้สึกว่าควบคุมการเคลื่อนไหวไม่ได้เท่าภาวะปกติ นั่นหมายถึง 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หากมีอาการเดินไม่ตรงทาง หมายถึง 100 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และหากทะลุไปถึงสลบ นั่นหมายถึงระดับที่ 400 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ อาจถึงตายได้”

ผกก.ตรวจเมาเมืองกรุง บอกว่า ต้องรู้ตัวเสมอว่าตัวเองดื่มอยู่ในระดับไหน หากคิดว่าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้แล้ว ควรจอดรถไว้ และเรียกแท็กซี่กลับบ้าน ที่บอกไม่ใช่ให้กังวลเรื่องด่านตรวจ แต่ให้คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองและผู้อื่นที่มาใช้รถใช้ถนนด้วย แต่ทางที่ดีที่สุดไม่ใช่ว่าต้องมาห่วงว่าจะดื่มเหล้าเท่าไหร่ กี่แก้วไม่เจอตรวจ แต่ให้คิดถึงความรับผิดชอบที่ตนเองต้องมี ดื่มได้ ก็ต้องรับผิดชอบได้

“แล้วอะไรต่างๆ ทั้งเครื่องดื่มชูกำลัง นมเปรี้ยว กาแฟดำ เป็นต้น พวกนี้ไม่ช่วยให้คุณสร่างเมา หรือไปเจอด่านตรวจแล้วมันจะกลบแอลกอฮอล์ขณะตรวจ มันไม่จริง กาแฟดำช่วยลดอาการง่วงซึมของผู้ดื่มได้ แต่ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายขับแอลกอฮอล์ออกมา นมเปรี้ยวก็เหมือนกัน ไม่ทราบว่าวิชาจากไหน ที่บอกกันว่าจะช่วยให้ลดแอลกอฮอล์ ที่ผ่านมามีคนเมาแล้วเข้าด่าน ขอกินนมเปรี้ยวก่อนตรวจ ก็กินไปราว 3 กระป๋อง ตรวจมาก็เกินอยู่ดี เพราะฉะนั้นไม่จริง”

ผกก.วีระวิทย์ ลงทุนจัดทำคู่มือเตือนสติคนเมาในรูปแบบเตือนภัยและข้อควรรู้ต่างๆ บรรจุในคู่มือชื่อหัวหนังสือว่า “The Happy Police จราจรเป็นมิตร ใกล้ชิดประชาชน” และในคู่มือนี้มีหัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับการดื่มสุราแล้วขับรถให้ทราบกัน พร้อมทั้งยังมีข้อมูลกฎหมายจราจรและสิ่งที่ควรรู้สำหรับผู้ขับขี่ บอกถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจจราจรอีกด้วย จะแจกจ่ายในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รอรับกันได้

ดื่มมาตรฐาน (Standard Drink) คือ เครื่องดื่มมาตรฐานของแอลกอฮอล์แต่ละประเภท ซึ่งปริมาณแอลกอฮอล์จะขึ้นอยู่กับดีกรีของเครื่องดื่มประเภทนั้น

เบียร์ 1 กระป๋อง = แอลกอฮอล์ 330 มิลลิกรัม

ไวน์ 1 แก้ว = 100 มิลลิกรัม

เหล้า 3 ฝา = 30 มิลลิกรัม

1 ดื่มมาตรฐาน = เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ประมาณ 10 กรัม

1 ดื่มมาตรฐาน = 1 ชั่วโมงขับออก

ข้อมูลจาก : กองบังคับการตำรวจจราจร