ชะตากรรมรัฐบาล ฝากไว้กับ ‘ศาลโลก’
นับถอยหลังอีกเดือนกว่าๆ คนไทยทั้งประเทศก็จะได้ข้อสรุปที่ค้างคาใจมานาน 50 ปี ต่อประเด็นพิพาทปราสาทพระวิหาร
โดย...ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์
นับถอยหลังอีกเดือนกว่าๆ คนไทยทั้งประเทศก็จะได้ข้อสรุปที่ค้างคาใจมานาน 50 ปี ต่อประเด็นพิพาทปราสาทพระวิหาร เนื่องจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ได้กำหนดให้วันที่ 11 พ.ย. เป็นวันชี้ชะตาระหว่างไทยกัมพูชา กรณีกัมพูชายื่นขอให้ศาลโลกตีความคำตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505
ท่าทีฝ่ายไทย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เตรียมพร้อมด้วยการเรียกประชุมหน่วยงานทั้งฝ่ายความมั่นคงและกระทรวงการต่างประเทศมาหารือในวันที่ 21 ต.ค.นี้ ถึงการจัดตั้งกลไกระดับชาติ ไทยกัมพูชา รวมทั้งตั้งคณะทำงานเพื่อรองรับคำตัดสินของศาลโลก และประชุมวิเคราะห์ถึงแนวทางต่างๆ
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1519 เม.ย. ศาลโลกนัดไทยและกัมพูชาชี้แจงด้วยวาจาครั้งสุดท้าย ไทยได้ยก 5 เหตุผลมาใช้ต่อสู้ ได้แก่ 1.การขอตีความครั้งนี้เป็นการซ้อนคำอุทธรณ์ของกัมพูชา เพื่อพลิกคำพิพากษาเดิมที่ได้ตัดสินไปแล้ว
2.กัมพูชาพยายามชี้แจงว่า เขตแดนต้องไปเป็นตามภาคผนวก 1 ซึ่งศาลเคยปฏิเสธไปแล้วเมื่อปี 2505 เนื่องจากศาลตัดสินว่าปราสาทพระวิหารเคยเป็นของไทยหรือกัมพูชา ไม่ใช่เรื่องเขตแดน
3.พื้นที่ 4.6 ตร.กม. ที่กัมพูชาเรียกร้องและอ้างว่าเป็นเรื่องใหม่ ทั้งที่จริงเกิดขึ้นตั้งแต่กัมพูชาเคยนำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ปี 2550 แต่ไทยกับกัมพูชาเคยตกลงเรื่องเขตแดนตามตามเอ็มโอยู 2543
4.พื้นที่ใกล้เคียงตามคำพิพากษาปี 2505 กับพื้นที่ 4.6 ตร.กม. กัมพูชาเรียกร้อง ไม่ใช่พื้นที่เดียวกัน เนื่องจากกัมพูชาไม่เคยนำหลักฐานมายืนยันเรื่องในเรื่องดังกล่าว
5.เส้นมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อปี 2505 ไทยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกที่ถือเอารั้วลวดหนามเป็นหลัก สอดคล้องกับพื้นที่ใกล้เคียงปราสาท แต่กัมพูชาไม่เคยทักท้วงว่าไทยไม่ทำตามคำพิพากษา อีกทั้งความไม่ชอบมาพากลของเอกสารหลักฐานที่กัมพูชาใช้ในศาลครั้งนี้ โดยเอกสารแผนที่มีหลายชุดที่ใช้ในปี 2505 กับครั้งนี้แตกต่างกัน เพราะนำเอาแผนที่ของไทยเมื่อปี 2505 มาดัดแปลง
ขณะที่ฝ่ายกัมพูชา นำโดย “ฮอร์นัมฮง” รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศกัมพูชา ได้โต้แย้งพร้อมยกสาเหตุในการนำเรื่องดังกล่าวกลับเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลกอีกครั้ง โดยพุ่งเป้าไปยังรัฐบาลไทยชุดที่ผ่านมา ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลกเมื่อปี 2505 ในการถอนกำลังทหารออกนอกพื้นที่รอบตัวปราสาทพระวิหาร
นอกจากนี้ ยังเกิดเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา จนปราสาทได้รับความเสียหายและประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตช่วงที่กัมพูชานำปราสาทขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก อีกทั้งไทยยังให้การสับสนเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ดังนั้นจำเป็นต้องยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อตัดสินให้เกิดสันติภาพระหว่าง 2 ประเทศ
ด้านทีมทนายความฝ่ายกัมพูชา พยายามเน้นย้ำต่อศาลว่า เรื่องนี้มีความสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับสันติภาพและความร่วมมือในภูมิภาค ซึ่งวัตถุประสงค์กัมพูชาชัดเจน คือ ต้องการให้มีการตีความโดยอาศัยธรรมนูญข้อ 60 ของศาลโลก ซึ่งสามารถทำได้ เพื่อให้สิ่งที่เคยตัดสินมาแล้วสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง ไม่ใช่การขอตีความเพื่อขอทำซ้ำหรือล้มล้างคำตัดสินเดิม
“ยืนยันว่ากัมพูชาได้แสดงท่าทีคัดค้านการสร้างรั้วลวดหนามของรัฐบาลไทยแล้ว เนื่องจากในเดือน เม.ย. 2509 รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาได้ส่งหนังสือไปยังเลขาธิการสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อ้างถึงถ้อยแถลงของสมเด็จสีหนุที่พูดถึงรั้วลวดหนามของไทยว่า เป็นการปฏิบัติการที่ไม่คำนึงถึงคำพิพากษาของศาลเมื่อปี 2505 แต่ขณะนั้นกัมพูชาไม่เลือกที่จะมีปัญหากับรัฐบาลไทย” ทนายฝ่ายกัมพูชา ระบุ
ทั้งนี้ หากเทียบข้อต่อสู้ของ 2 ฝ่าย ทั้งไทยกัมพูชาที่หยิบยกหลักฐานมาหักล้างต่อศาลโลก จะเห็นว่าไทยมีความได้เปรียบเล็กน้อยตามที่มีผู้สันทัดกรณีหลายฝ่ายให้ความเห็นก่อนหน้านี้ เนื่องจากมองว่าถ้าศาลโลกตัดสินให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะจะนำมาซึ่งปัญหาตามแนวชายแดน ผลกระทบจะตกอยู่ที่ประชาชนในแถบนั้น ทำให้มีความเป็นไปได้ที่คำพิพากษาของศาลโลก คือ การไม่พิพากษาคดี โดยอ้างว่าตัวเองไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยคำพิพากษาซ้ำในคดีที่เคยพิพากษาไปแล้วเมื่อ 50 ปีก่อน
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผลแพ้ชนะของคดีนี้จะมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลในช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 ปีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย
แน่นอนว่า หากไทยชนะคดีเสถียรภาพของรัฐบาลจะมีความมั่นคงและอาจจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแกร่งให้กับ “ยิ่งลักษณ์” มากขึ้น
ทว่า ถ้าคำพิพากษาออกมาเป็นตรงกันข้าม ความสั่นคลอนจะเกิดกับเก้าอี้นายกฯ ขึ้นมาทันที เพราะมีความเป็นไปได้ที่กัมพูชาจะได้เปรียบในคำพิพากษาของศาลโลกที่อาจระบุว่าเรื่องเขตแดนของทั้งสองประเทศให้ยึดถือแผนที่ในอัตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ตามที่กัมพูชาร้องขอ ซึ่งนั่นเท่ากับว่าไทยจะเสียเปรียบในข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ไปโดยปริยาย
แรงสะท้อนจะวกกลับมายังรัฐบาลไทย ด้วยการเกิดกระแสกดดันและเรียกร้องความรับผิดชอบ ซึ่งไม่ต่างกับการเติมเชื้อเพลิงให้ม็อบต่อต้านรัฐบาลมีแรงขับเคลื่อนมากขึ้น เช่น กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) และกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาและประชาชนเพื่อปฏิรูปประเทศ (คปท.)
ต้องไม่ลืมว่าอธิปไตยของชาติในบริบทเขตแดนนั้นถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากผลออกมาในทางลบย่อมกระเทือนจิตใจประชาชนคนไทยทั้งชาติ และรัฐบาลจะกลายเป็นผู้ที่ต้องแสดงความรับผิดชอบในลำดับต้นๆ ขึ้นมาทันที
อาจเรียกได้ว่าในเดือน พ.ย.นี้ จะเป็นช่วงเวลาของการชี้ชะตารัฐบาลว่าจะได้ไปต่อ หรือจะต้องยุติตัวเองลงกลางคัน เพราะนอกจากชะตากรรมของรัฐบาลยังผูกไว้กับศาลโลกแล้ว ยังผูกไว้กับศาลรัฐธรรมนูญของไทยด้วย
กล่าวคือ มีการคาดการณ์กันว่าในเดือน พ.ย.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของที่มา สว. โดยถ้าศาลเห็นว่าการแก้ไขกฎหมายสูงสุดเข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ แทบไม่ต้องคิดเลยว่ารัฐบาลจะอยู่เป็นผู้บริหารประเทศได้อย่างไร
ถึงจะอ้างว่าเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติไม่เกี่ยวกับฝ่ายบริหาร แต่ต้องไม่ลืมนายกฯ คือผู้ทูลเกล้าฯ ถวายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นี่ยังไม่นับคดีจำนำข้าวที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีปฏิทินออกมาแล้วว่าจะต้องสรุปสำนวนให้ได้ภายในเดือน พ.ย. เช่นเดียวกับการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงท้ายของเดือน
ทั้งหมดนี้รัฐบาลจะอยู่หรือไปเดือน พ.ย. มีคำตอบ


