posttoday

มหัศจรรย์ข้าวไทยแลกรถไฟความเร็วสูง

11 ตุลาคม 2556

ปลายสัปดาห์นี้ นายกรัฐมนตรี หลี่เค่อเฉียง ของประเทศจีน จะเดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ

โดย...จตุพล สันตะกิจ

ปลายสัปดาห์นี้ นายกรัฐมนตรี หลี่เค่อเฉียง ของประเทศจีน จะเดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ และจะเป็นประธานสักขีพยานลงนามบันทึกความเข้าใจสำคัญ 1 ใน 4 ฉบับ

นั่นก็คือ “ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยโครงการความร่วมมือของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านรถไฟในประเทศไทย โดยการแลกเปลี่ยนกับสินค้าเกษตรจากประเทศไทย”

ฝ่ายไทยมี ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม เป็นผู้ลงนาม ส่วนผู้ลงนามฝ่ายจีนคือ ลู่ตงฝู รมช.คมนาคมจีน

หากมีการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) และมีผลบังคับใช้ จะมีผลกระทบ 2 นัย

นัยแรก ไทยสามารถนำข้าวและยางพาราไปจ่ายเป็นค่าก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงได้ในกรณีที่จีนชนะการประมูลรถไฟความเร็วสูง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีขั้นตอนและเงื่อนไขให้ทั้งสองฝ่ายต้องตกลงกันอีกรอบ เช่น ปริมาณ มูลค่าหรือราคา และวิธีส่งมอบ

นัยที่สอง จีนจะเป็นประเทศแรกๆ ที่จะได้รับการพิจารณาให้ลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงในไทย โดยเฉพาะเส้นทางที่จีนมีความต้องการมากที่สุด คือ บ้านภาชีนครราชสีมาหนองคาย วงเงินลงทุนกว่า 5 แสนล้านบาท

แบ่งเป็น ระยะแรก เส้นทางบ้านภาชีนครราชสีมา ระยะทาง 168 กิโลเมตร เงินลงทุน 1.7 แสนล้านบาท และอยู่ในแผนกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท

ระยะที่ 2 นครราชสีมาหนองคาย ระยะทาง 357 กิโลเมตร วงเงินค่าก่อสร้างน่าจะไม่ต่ำกว่า 3.4 แสนล้านบาท

แม้หลักการในการเปิดประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงนั้น ชัชชาติ บอกว่า จะเปิดประมูลแบบการเปิดประกวดนานาชาติ

แต่หากมีการพ่วงเงื่อนไขในการจ่ายค่าก่อสร้างเป็นข้าว เป็นยาง ฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จะเต็มใจแข่งขันหรือไม่

ยิ่งหากกำหนดเงื่อนไขนี้ในการร่างทีโออาร์ประมูล แน่นอนว่า จีนจะมีแต้มต่ออยู่มากโข

เมื่อเป็นเช่นนี้ “แทนที่เราจะได้รถไฟที่ดีที่สุด และราคาเหมาะสมที่สุด เราก็จะได้รถไฟที่ผู้ขายเขายอมรับการชำระด้วยข้าว เยอรมนี ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น คงไม่รับเงื่อนไขนี้ การแข่งขันเปรียบเทียบก็จะไม่เกิดความโปร่งใส ราคาก็จะไม่มี” กรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง ตั้งข้อสังเกต

ย้อนกลับไปในอดีต นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลไทยจุดประกายแนวคิดข้าวแลกสินค้า เพราะรัฐบาลยุคก่อนๆ ก็มีไอเดีย ลำไยแลกหัวรถจักร ข้าวแลกรถถัง ข้าวแลกอาวุธปืน และข้าวแลกเครื่องบินมาแล้วทั้งสิ้น

แม้แต่ล่าสุด วิเชษฐ์ เกษมทองศรี รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตอบกระทู้สดในสภาเมื่อวันที่ 10 ต.ค.ว่า “อาวุธของเจ้าหน้าที่รักษาป่าไม้เก่าล้าสมัยสู้ผู้ร้ายไม่ได้ เราจะเอาข้าวไปแลกซื้ออาวุธปืนที่ทันสมัยมาให้เจ้าหน้าที่”

เรียกได้ว่า ข้าวไทยได้กลายเป็นสินค้าอันมหัศจรรย์ก็คงไม่ผิดนัก เพราะใครต่อใครสามารถนำไปแลกสินค้าได้หลากหลาย

แต่ทว่าไอเดียนำสินค้าเกษตรอย่างข้าวไปแลกรถไฟ แลกอาวุธปืนและรถถัง ที่ผ่านมาสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง และล้วนแล้วก็มีเงื่อนไขเจาะจง แต่อย่างน้อยก็มีการระบายข้าวออกไปจากอ้อมกอดของรัฐบาลที่โอบอุ้มอยู่

นิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย ระบุว่า การนำสินค้าเกษตรไปแลกซื้อสินค้าอื่นๆ ที่ไทยทำสำเร็จน่าจะมีครั้งเดียว คือ สมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นไทยใช้ข้าวสารกว่า 1.2 ล้านตัน แลกซื้อรถถังจากจีนได้จำนวนหนึ่ง

แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่เคยมีกรณีใดสำเร็จอีกเลย

“บิ๊กจิ๋วมีบารมีและมีสายสัมพันธ์ที่ดีมากกับจีน จึงใช้ข้าวแลกรถถังมาได้ และตอนนั้นจีนเขามีปัญหาน้ำท่วมในประเทศ เขาจึงต้องการได้ข้าวสารจากไทย” นิพนธ์ ระบุ

นิพนธ์ ประเมินว่า เป็นไปได้สูงที่ไทยจะนำข้าวไปจ่ายเป็นค่าลงทุนรถไฟความเร็วสูงจากจีนในรอบนี้สำเร็จ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน

อย่างไรก็ตาม การนำข้าวสารไปจ่ายเป็นค่ารถไฟความเร็วสูง ยังมีโจทย์ให้ยังต้องแก้ เพราะข้าวไทยราคาแพงกว่าข้าวเวียดนาม 6070 เหรียญสหรัฐต่อตัน

ถ้าไทยจะนำข้าวสารไปแลก ราคาข้าวไทยต้องมีราคาเท่ากับเวียดนาม แต่ถ้าสูงกว่านั้นจีนจะขอต่อรองเพิ่มราคารถไฟความเร็วสูงแน่นอน

สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ประเมินว่า หากไทยจะแลกข้าวกับรถไฟความเร็วสูงกับจีนเป็นสิ่งที่ทำได้และเป็นเรื่องที่ดี

แต่ไม่ใช่ว่า จะทำได้วันนี้ วันพรุ่งนี้ ขึ้นอยู่กับ 3 เงื่อนไข คือ 1.ไทยจะมีการลงทุนรถไฟความเร็วสูงหรือไม่ 2.การเปิดประมูลรถไฟความเร็วสูงจะเปิดประมูลเป็นการทั่วไปหรือไม่ และ 3.หากเปิดประมูลเป็นการทั่วไป ประเทศอื่นๆ ที่ร่วมประมูลจะยอมรับเงื่อนไขข้าวแลกรถไฟความเร็วสูงหรือไม่

ยิ่งเมื่อประเมินความต้องการนำเข้าข้าวของจีนวันนี้ ดูเหมือนว่า หลี่เค่อเฉียง มีนโยบายที่จะปกป้องตลาดข้าวภายในประเทศ แต่การนำข้าวจากไทยยังมีช่องทางที่เป็นไปได้

เพราะในปี 2557 รัฐบาลจีนประกาศกำหนดโควตาการนำเข้าข้าว 5.32 ล้านตัน และมีการคาดการณ์ว่าปี 2557 จีนจะนำข้าวจริง 3.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2555/2556 ที่จีนนำเข้าข้าว 3.2 ล้านตัน จีนให้เหตุผลที่ต้องนำเข้าข้าว เนื่องจากเห็นว่าราคาข้าวในตลาดโลกตกต่ำ จีนจึงใช้โอกาสนี้ซื้อข้าวมาเก็บไว้ แม้ว่าจีนจะมีสต๊อกข้าวเพียงพอ ที่สำคัญจีนรู้ว่าไทยมีสต๊อกข้าวมาก

ด้วยแต้มต่อที่ต่างกัน จะทำให้จีนมีอำนาจต่อรองและกดราคาข้าวไทยได้ทุกเมื่อ

เพราะวันนี้ไทยมีข้าวสารในสต๊อกจมอยู่มหาศาล โดยมีข้าว 10.08 ล้านตันในสต๊อก หากรวมกับข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/2557 ที่จะเข้าโครงการอีก 16.5 ล้านตัน หรือ 9.9 ล้านตัน แถมระบายไม่ออก

ปมปัญหาถัดมา คือ ข้าวสารที่ไทยจะใช้ชำระหนี้ข้าวมีคุณภาพตรงกับความต้องการของจีนหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่าหลังรัฐบาลมีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้คุณภาพข้าวไทยแย่ลง เพราะมีกระบวนการเวียนเทียนนำข้าวเน่าข้าวเสื่อมส่งโกดังกลางแทนข้าวใหม่ ขณะที่รัฐบาลยังคงปล่อยให้ผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าวหรือเซอร์เวเยอร์ทำมาหากินกับค่าส่งข้าวสารเข้าโกดัง

“ตอนนี้เวลานำข้าวสารเข้าโกดังกลาง เป็นเรื่องปกติไปแล้วที่โรงสีต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะให้เซอร์เวเยอร์ ข้าวคุณภาพตามสเปกต้องจ่าย 7 บาทต่อกระสอบ (100 กก.) และจ่ายให้หัวหน้าคลัง 3 บาทต่อกระสอบ แต่ถ้าข้าวคุณภาพแย่ๆ ต้องจ่าย 3040 บาทต่อกระสอบ” แหล่งข่าวจากสมาคมโรงสีข้าวไทยเปิดเผย

เมื่อไปตรวจสอบคุณสมบัติของเซอร์เวเยอร์ 17 บริษัทที่เป็นคู่สัญญากับองค์การคลังสินค้า จะพบว่าบริษัทที่ดูแลคุณภาพข้าวเป็นพันล้านบาท เป็นหมื่นล้านบาท กลับมีทุนจดทะเบียนเพียง 22.5 ล้านบาทเท่านั้น

ไม่ต้องบอกว่าความรับผิดชอบต่อคุณภาพข้าวที่ส่งมอบจะเป็นอย่างไร

“ข้าวในสต๊อกรัฐบาลมีมูลค่าเป็นพันๆ ล้านบาท แต่ยอมให้เซอร์เวเยอร์ที่มีทุนจดทะเบียน 22.5 ล้านบาท ซึ่งล้วนแล้วแต่ใกล้ชิดกับรัฐบาล รับผิดชอบในการตรวจสอบคุณภาพ หากข้าวไม่ตรงสเปกจะไปเอาผิดกับบริษัทก็ทำอะไรไม่ได้ และใครจะรับรองว่าข้าวไทยมีคุณภาพดี ที่เห็นกันอยู่ คือ รัฐบาลเปิดประมูลข้าว 6 แสนตัน แต่มีคนซื้อ 12 แสนตันเท่านั้น” วรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ให้ข้อมูล

หากข้าวไทยที่ส่งไปให้จีนยังคงมีคุณภาพเช่นนี้ ข้าวไทยที่ถือเป็นข้าวมหัศจรรย์ เพราะนำไปแลกซื้อสินค้าได้เกือบทุกชนิด ก็มีหวังหมดคุณค่า หมดราคาทันที

กรณีข้าวแลกรถไฟที่ถูกจุดพลุขึ้นมาในการลงนาม จึงต้องติดตามว่าจะประสบความสำเร็จดั่งที่รัฐบาลคาดหวังหรือไม่

หรือเป็นเพียงแค่ละครฉากใหญ่แก้ผ้าเอาหน้ารอด เพราะรีบเร่งระบายข้าวในสต๊อก รีบลงทุนรถไฟความเร็วสูง

รีบเร่งอย่างนี้ ไม่รู้ว่าประโยชน์หล่นใส่กระเป๋าใคร

ข่าวล่าสุด

4 หน่วยงานลุย "สะพานสมุย" พ่วงน้ำ-ไฟ-เน็ต แก้ปัญหาระยะยาว