posttoday

อนาธิปไตย

28 เมษายน 2553

...จรัส สุวรรณมาลา

อนาธิปไตย เป็นสภาวะที่บ้านเมืองไร้ระเบียบกฎหมาย ไร้รัฐ มีหรือไม่มีรัฐบาลก็ไม่แตกต่างกัน ผู้คนต้องดูแลตัวเอง ช่วยตัวเอง ปกป้องคุ้มครองตัวเอง จากการทำร้าย ล่วงละเมิด หรือกดขี่ข่มเหงจากคนอื่นๆ แต่ละคนตั้งกฎของตัวเอง ตั้งกองกำลังของตนเอง และจัดการกับคนอื่นได้ ตามอำเภอใจ หรือจะเรียกว่าตามเหตุผลความเชื่อของตนเอง ในสังคมอนาธิปไตย ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่จะตกอยู่ในอารมณ์แห่งความหวาดกลัว ไร้ซึ่งอำนาจ ไม่สามารถเป็นเจ้าของชีวิตและทรัพย์สินได้ เพราะอาจถูกคนอื่นพรากไปได้ตลอดเวลา

สังคมอนาธิปไตย เป็นขั้วตรงกันข้ามกับสังคมประชาธิปไตย อันที่จริงแล้วสังคมอนาธิปไตยเป็นสังคมมนุษย์ยุคดั้งเดิม ที่ผู้คนอยู่กันโดยไม่มีรัฐ และไม่สามารถดำรงชีพเยี่ยงมนุษย์ได้ ต้องใช้ชีวิตแบบต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดโดยใช้สัญชาตญาณและใช้กำลังเยี่ยงสัตว์ป่านั่นเอง

สภาวะอนาธิปไตยจะดำรงอยู่ตราบเท่าที่ยังไม่มีใครคนใดคนหนึ่ง หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีอำนาจปกครองเหนือคนอื่นๆ อย่างเด็ดขาดชัดเจน ต่อเมื่อมีคนหรือกลุ่มคนที่สามารถรวบรวมกำลังได้มากพอ และใช้กำลังอำนาจเข้าควบคุมคนกลุ่มอื่นๆ ได้อย่างเด็ดขาด ก็จะสามารถสถาปนาอำนาจรัฐและบังคับใช้ระเบียบกฎหมายกับบุคคลหรือกลุ่มคนต่างๆ ได้ สภาวะอนาธิปไตยก็จะค่อยๆ คลี่คลายไป

ผู้คนในสังคมอนาธิปไตยจึงมักเรียกร้อง โหยหารัฐบาล หรือผู้ปกครอง เพราะคิดว่ารัฐบาลหรือผู้ปกครองสามารถคุ้มครอง ดูแลความปลอดภัย ให้หลักประกันความมั่นคงกับตัวเองได้ ดังตัวอย่างที่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์การก่อเกิดของรัฐในสังคมต่างๆ

ถ้าตรวจดูอุณหภูมิสังคมไทยวันนี้ ด้วยเครื่องวัด อนาธิปไตยที่ว่านี้ ก็จะรับรู้ได้ว่าสังคมเรากำลังเดินถอยหลัง จากสังคมประชาธิปไตย สังคมเคารพสิทธิความเป็นมนุษย์ของคนทุกคน กลับไปสู่สังคมอนาธิปไตย สังคมที่ไม่มีกฎหมาย ไม่มีขื่อมีแป สังคมที่ผู้คนตัดสินกันด้วยกำลัง อาวุธ ข่มขู่ เกลียดชัง เข่นฆ่า ทำลายล้าง ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ไม่คิดว่าคนอื่นเป็นคนเหมือนตนเอง ลืมเรื่องสิทธิความเป็นมนุษย์ ถึงขั้นเข้าไปทุบตีทำร้าย ไม่เว้นแม้กระทั่งคนเจ็บป่วยที่ถูกหามเข้าโรงพยาบาล

สังคมที่มีรัฐอยู่แล้ว จะเดินถอยหลัง กลับไปเป็นสังคมไม่มีรัฐ หรือสังคมอนาธิปไตยได้อย่างไร มีเหตุผลกลไกอะไรที่พอจะช่วยให้เข้าใจการเดินถอยหลังของสังคมการเมืองแบบเมืองไทยเราวันนี้ได้

คำตอบมีอยู่ในประวัติศาสตร์การเมืองในสังคมต่างๆ ถ้าพลิกหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองในรอบสามสี่ร้อยปีมานี้ก็จะพบว่ามีปรากฏการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก กรณีของไทยเราวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด

ปรากฏการณ์การเดินถอยหลังของสังคมนิติรัฐ ไปสู่สังคมอนาธิปไตยในสังคมต่างๆ ก็จะพบตัว เชื้อโรคที่สามารถสั่นคลอนอำนาจรัฐที่คล้ายๆ สองสามตัวคือ การเกิดภัยพิบัติธรรมชาติ สงครามระหว่างรัฐ และการแย่งชิงอำนาจกันเองระหว่างผู้ที่ต้องการครอบครองอำนาจ ภายในรัฐนั้นๆ เช่น ถ้าสังคมเกิดภัยพิบัติที่รุนแรง ถึงขั้นขาดแคลนอาหารและเครื่องยังชีพ ก็จะเกิดการปล้น แย่งชิงอาหาร ฯลฯ ขึ้น เพราะทุกคนที่ยังไม่ตายต้องเอาชีวิตรอด

ถ้าเป็นสงครามระหว่างรัฐ ผู้บุกรุกก็ใช้อำนาจเข้าปล้นชิงทรัพย์สิน ทำร้ายผู้คน ซึ่งแน่นอนว่าคนในสังคมที่ถูกยึดครองก็ไม่ยอม และต้องต่อสู้กับผู้ยึดครอง เป็นสภาวะที่ไม่มีขื่อมีแปเช่นกัน

ถ้าเกิดจาก คนในสังคมแย่งชิงอำนาจทางการเมืองกันเองก็มักจะเป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจโดยใช้กำลังนอกระบบ (แทนที่จะต่อสู้แย่งชิงกันตามกรอบกฎหมาย) ถ้าหากฝ่ายที่ก่อการเพื่อท้าทายและเข้าแย่งชิงอำนาจมีกำลังอำนาจมากพอ ก็จะสร้างความระส่ำระสายได้มากเช่นเดียวกัน

ฝ่ายก่อการท้าทายและแย่งชิงอำนาจ จะทำการให้สำเร็จได้ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการทำสงคราม แย่งชิงประชาชนให้เข้าไปเป็นพวกของตนเองให้ได้มากที่สุด ด้วยกลอุบายต่างๆ นานา ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องจริงเสมอไป จากนั้นก็ใช้ประชาชนเป็นกำลัง เป็นเครื่องมือ รวมทั้งเป็นตัวประกัน ช่วยต่อสู้จนได้ชัยชนะ บ้านเมืองย่อมระส่ำระสายอย่างยิ่ง นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา

สังคมไทยเราวันนี้ สภาวะอนาธิปไตยเกิดจากเชื้อโรคตัวใด ก็ลองพิจารณากันเอาเอง หลายคนมองเห็นตั้งแต่ต้นมาแล้ว อีกหลายคนไม่เชื่อ แต่มาถึงวันนี้ คิดว่าเหตุการณ์ได้คลี่คลายให้เห็นจนชัดเจนเพียงพอที่คนธรรมดาอย่างเราๆ จะเข้าใจได้ด้วยสติปัญญา และสามารถปฏิเสธที่จะไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองของผู้ที่ต้องการอำนาจทางการเมือง ซึ่งอาจแฝงไว้ด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ เหมือนกับที่เคยพบเห็นในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และในสังคมอื่นๆ ที่ผ่าน

ข่าวล่าสุด

สยามพิวรรธน์คว้า 2 รางวัลโลก พร้อมเปิด NEXTOPIA สยามพารากอน