posttoday

ย้อนตำนาน 'ศรีเฟื่องฟุ้ง'

22 กันยายน 2556

พ่อทิ้งอาณาจักรธุรกิจอันกว้างใหญ่ไว้ให้ลูก หลาน เหลนที่รัก จงดูแลมรดกอันยิ่งใหญ่นี้ให้ดี รักษาบริษัทเหล่านี้ให้มีความมั่นคง

“พ่อทิ้งอาณาจักรธุรกิจอันกว้างใหญ่ไว้ให้ลูก หลาน เหลนที่รัก จงดูแลมรดกอันยิ่งใหญ่นี้ให้ดี รักษาบริษัทเหล่านี้ให้มีความมั่นคง มีความเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยนโยบายการเติบโตที่ไม่มีการเสี่ยง อย่าดำเนินกิจการโดยใช้เครดิต แต่จงใช้เงินสดตามทรัพยากรที่มีอยู่ในมือ ถ้าลูกต้องการจะเสี่ยงโชค จงใช้เงินส่วนของลูก อย่าใช้เงินของ ‘กงสี’ (เงินกองทุน)”

นี่เป็นส่วนหนึ่งของคำสอนที่ลึกซึ้งของ เกียรติ ศรีเฟื่องฟุ้ง ผู้บุกเบิกธุรกิจกระจกไทยอาซาฮี ผู้สร้างอาญาจักรธุรกิจของตระกูลศรีเฟื่องฟุ้งให้เบ่งบานออกไป จากธุรกิจกระจก แตกไปสู่ธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมพลาสติก อุตสาหกรรมเคมี สถาบันการเงิน ธุรกิจยางรถยนต์ร่วมกับกู๊ดเยียร์ ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจประกันชีวิต และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ตระกูลศรีเฟื่องฟุ้ง นับเป็นตระกูลเจ้าสัว หากจะย้อนรอยต้องนับแต่รุ่นที่ 1 เริ่มจากนายเทียนจุ้ย แซ่แต้ ชาวจีนที่บุกเบิกมาตั้งรกรากในเมืองไทย และมีทายาทรุ่นที่ 2 ถึง 11 คน เป็นชาย 5 คน หญิง 6 คน ซึ่งรุ่น 2 ที่ดำเนินธุรกิจสืบต่อจากรุ่นแรก ได้แก่ เกียรติ บุตรชายคนโต สมควร บุญเดช บุญทรง และ ณัฐศรีเฟื่องฟุ้ง

ความเป็นมาของตระกูลเจ้าสัวนี้มีตำนาน คนรุ่นใหม่อาจไม่รู้ แต่นักธุรกิจยุคบุกเบิกรู้จักกันดี เนื่องจากเจ้าสัวเกียรติ ถูกส่งไปเรียนที่ประเทศจีน แต่เมื่อกองทัพญี่ปุ่นบุกเข้าประเทศจีน ทำให้ต้องตัดสินใจไปเรียนเป็นนักบิน และเข้าร่วมกับฝูงบินฝ่ายสัมพันธมิตร

เมื่อผ่านพ้นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกียรติได้มีโอกาสเข้ารับหน้าที่เป็นเลขาของ ดร.ซุนฟู บุตรชาย ดร.ซุนยัดเซ็น จากนั้นจึงขอลาออกไปเป็นพนักงานธนาคารมณฑลกวางตุ้ง จนได้แต่งงานกับธิดาของผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคาร และเมื่อธนาคารแห่งนี้มีแผนขยายสาขามาที่ประเทศไทย เกียรติจึงเป็นตัวแทนเจรจากับทางรัฐบาลไทยมาเจรจาจนสามารถเข้ามาตั้งสาขาในไทยได้

จากนั้น เกียรติเข้าร่วมกับตระกูลเตชะไพบูลย์ในการตั้งธนาคารใหม่ชื่อสิงขร ในปี 2493 และเปลี่ยนเป็น ธนาคารศรีนคร ต่อมาปี 2496 นายเกียรติตั้งบริษัท ไทยศรีนครประกันภัย ขึ้น โดยร่วมกับหุ้นส่วนจากตระกูลบุรณานนท์ พานิชชีวะ เตชะไพบูลย์ และอื้อจือเหลียง ที่ต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท ไทยศรีนครประกันภัยและคลังสินค้า

กระทั่งปี 2505 เกียรติได้ตัดสินใจบุกเบิกธุรกิจอุตสาหกรรมกระจก ในนามบริษัท กระจกไทย ร่วมกับผู้ถือหุ้นกลุ่มเดิม และเป็นบริษัทผลิตกระจกเป็นแห่งแรกของประเทศไทย และได้มีแผนการร่วมทุนจากเดิมที่เป็นบริษัทในไต้หวัน มาเป็นบริษัท ญี่ปุ่น นำมาซึ่งการเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท อาซาฮีกลาส และเปลี่ยนเป็นบริษัท กระจกไทยอาซาฮี ในปี 2507

แต่ในความสำเร็จของกระจกไทยอาซาฮี นอกจากเกียรติเองแล้ว ยังต้องเอ่ยถึง “สมบัติ พานิชชีวะ” หลานชายที่เกียรติดูแลอุปการะเสมือนลูก เพราะเป็นบุตรชายของ เจริญ พานิชชีวะ กับ เฮียง ศรีเฟื่องฟุ้ง ซึ่งเป็นพี่สาวของเขา ที่สำคัญคือ เกียรติมองว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถจะเข้ามาช่วยดูธุรกิจได้ ประกอบกับตอนตั้งโรงงานกระจกไทย ลูกชายทั้งสาม คือ ชัยคีรี ชัยณรงค์ และ ชัยนรินทร์ อายุยังน้อย เรียนอยู่ในต่างประเทศ จึงไม่ผิดที่จะกล่าวว่า ศรีเฟื่องฟุ้งและพานิชชีวะ เป็นตระกูลพี่น้องที่แนบแน่นในความสัมพันธ์

สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ในการขยับขยายธุรกิจของตระกูลศรีเฟื่องฟุ้งคือ คอนเน็คชั่นทั้งจากชาวจีนโพ้นทะเลยุคบุกเบิกด้วยกัน นับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะผู้ที่ เกียรตินับถือ อย่าง อุเทน เตชะไพบูลย์ รุ่นที่สองรับช่วงกิจการสุรา โรงรับจำนา และธุรกิจการค้า และ คนแซ่อื้อที่กว้างขวางอย่าง "อื้อจือเหลียง"เจ้าสัวใหญ่จากธุรกิจการค้าอุตสาหกรรมและประกันภัย รวมไปถึงการสร้างสัมพันธ์กับกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มขุนนางในสมัยนั้น เรียกว่าครบเครื่องทั้งสายสัมพันธ์ด้านทุนและอำนาจเลยทีเดียว

เมื่อธุรกิจต้องอิงกับการเมือง ทำให้ธุรกิจมีทั้งรุ่งเรืองและช่วงล้มลุกคลุกคลาน แต่เพราะวิสัยทัศน์ความเป็นผู้นำที่มองว่า "การเมืองจงมีเพื่อนในตำแหน่งใหญ่ๆ แต่อย่าเล่นการเมือง อย่าถือข้างพรรคหนึ่งเพื่อต่อต้านอีกพรรคหนึ่ง หรือให้ท้ายพรรคใดพรรคหนึ่ง” ทำให้ธุรกิจที่ล้มมีวันลุกขึ้นมาได้

การเป็นผู้นำที่มองขาด แก้เกมเร็ว เด็ดเดี่ยว เห็นได้จากช่วงแรกของกระจกไทยอาซาฮีที่เริ่มจากการร่วมทุนกับไต้หวัน แต่มีปัญหาหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีและการบริหารร่วม ความไม่ลงตัวในการจัดตั้งการผลิต เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนจากผู้ร่วมทุนไต้หวันไปเป็นญี่ปุ่น ก่อตั้งบริษัทอาซาฮีกลาส ขึ้น และเทคโนโลยีที่ได้มานี่เอง ที่พลิกชีวิตครอบครัวศรีเฟื่องฟุ้งให้ประสบความสำเร็จมากมาย

หลังการมรณกรรมของเกียรติ ศรีเฟื่องฟุ้ง ภารกิจดูแลรักษาอาณาจักรนี้ได้ตกอยู่กับชัยคีรี ทายาทคนโตที่เพิ่งขึ้นมาเป็นกรรมการอำนวยการแทนสมบัติ

ตระกูลศรีเฟื่องฟุ้งนั้นร่ำรวยอย่างเงียบๆ ไม่ทำตัวเด่นดัง เพราะถือคำสั่งของเจ้าสัวเกียรติในการดำเนินชีวิตอย่างเคร่งครัดและมีสายสัมพันธ์แนบแน่นยาวนานกับนักการเมืองสายซอยราชครู ทำให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคง

แต่จู่ๆ ตระกูลนี้กลับมาเป็นข่าวหน้าหนึ่งอีกครั้ง เมื่อ ชัยคีรี ทายาทรุ่นที่ 3 ได้ตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองลงเมื่อกลางดึกวันที่ 19 ก.ย. บนดาดฟ้าของอาคารเกียรติธานีซิตี้แมนชั่น ในซอยสุขุมวิท 31 ท่ามกลางความตื่นตระหนกของลูกหลานและญาติมิตร

แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดระบุว่า ชัยคีรีเป็นคนร่าเริง สนุกสนาน แต่ช่วงหลังเริ่มมีปัญหาสุขภาพและเตรียมจะเข้ารับการตรวจสุขภาพโดยละเอียดในเร็วๆ นี้ แต่ก็มาจบชีวิตลงเสียก่อน

นที พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยศรีประกันภัย ผู้เป็นหลานชายของสมบัติ กล่าวว่า ธุรกิจของศรีเฟื่องฟุ้งทั้งหมดเป็นลักษณะกงสี ภายหลังการเสียชีวิตของ “ชัยคีรี” คนที่จะรับช่วงธุรกิจต่อคือทายาทสายตรง “ธาวิน ศรีเฟื่องฟุ้ง” บุตรชายของ “ชัยคีรี” หัวหน้าแผนกธุรกิจชาวต่างชาติ สายงาน I&C บริษัท ไทยศรีประกันภัย วัยกว่า 30 ปี น้องชายของ “เชอร์รี่ชัญญาศรีเฟื่องฟุ้ง” ไฮโซสาว อดีตดาราและนางแบบที่ชื่นชอบการขี่ม้าเป็นชีวิตจิตใจ

“ธาวิน” แต่งงานแล้วกับ “ทิพนันท์ไกรฤกษ์” หลานสาวของ “อานันท์ ปันยารชุน”

จากนี้ อนาคตของตระกูลศรีเฟื่องฟุ้งจึงฝากไว้กับรุ่น 4 ที่จะเข้ามาดูแลสืบทอดกิจการต่อไป โดยมีรุ่น 3 คอยประคับประคอง รวมถึงอาณาจักรพันล้านของตระกูลบนที่ดินขนาดใหญ่กว่า 3,000 ไร่ ใน อ.บางละมุง พัทยา ที่ปัจจุบันเป็น ฮอร์สชู พอยท์ และลงทุนไปแล้วนับพันล้านบาท ทั้งโรงเรียนสอนขี่ม้านานาชาติ ฮอร์สชู พอยท์ รีสอร์ต แอนด์ คันทรี คลับ และอุทยานสามก๊ก

คำสอนที่ลึกซึ้งจากพ่อสู่ลูกของเจ้าสัวเกียรติที่บันทึกไว้ ณ อุทยานสามก๊ก ที่ว่า “พ่อหวังเป็นอย่างมากที่สุดว่า ลูกทุกคนจะรักษาวิญญาณของความเป็นเลิศไว้และสืบทอดต่อไปโดยทางใดทางหนึ่งไม่มากก็น้อย จะเป็นอะไรก็ได้ที่ใจอยากจะเป็น แต่จงเป็นให้ดีที่สุดที่จะเป็นได้ จงรับผิดชอบต่อชีวิตและการกระทำของตนเอง จงจำไว้ว่าความสามารถของเธอที่จะทำให้สำเร็จตามความปรารถนาไม่มีขอบเขตจำกัด” นั้นลูกหลานตระกูลศรีเฟื่องฟุ้งได้ปฏิบัติกันสืบต่อมา

ณ วันนี้พ่อและลูกคงจะได้พบกันในสัมปรายภพแล้ว

บริษัทกระจกไทยอาซาฮี นับว่าสร้างรายได้มหาศาลให้ตระกูลศรีเฟื่องฟุ้งที่นำไปสู่การเปิดตัวธุรกิจใหม่ ทั้งอุตสาหกรรมพลาสติก อุตสาหกรรมเคมี สถาบันการเงิน ธุรกิจยางรถยนต์ร่วมกับบริษัทกู๊ดเยียร์ ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจประกันชีวิต พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่สร้างชื่อเสียงมากที่สุดคือ สปอร์ตคลับโรงเรียนสอนขี่ม้านานาชาติ เฮอร์สชู พอยท์ 3,000 ไร่ บางละมุง ชลบุรี และอุทยานสามก๊ก 36 ไร่ ตามเจตนารมณ์ ของ”เกียรติ”ผู้เป็นบิดาของ”คีรี”

แต่ด้วยทรัพย์สินมหาศาลนับล้านล้านบาท และธุรกิจที่เติบใหญ่ต่อเนื่อง ผลกำไรที่งอกเงย ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าอาจเป็นปัญหาได้ในอนาคต เพราะเงินทองไม่เข้าใครออกใคร นายเกียรติป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นด้วยการนำทรัพย์สินส่วนใหญ่มารวมไว้เป็นของ "กงสี" โดยจัดตั้งเป็นโฮลดิ้งคอมปะนี แปรสภาพจากการถือหุ้นด้วยตัวบุคคลไปเป็นการถือหุ้นด้วยบริษัท แล้วจัดตั้งคณะกรรมการบริษัทเข้ามาควบคุมการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้หุ้นของบริษัท เพื่อให้ทุกคนทำงานเพื่อตระกูล

หลังจาก เกียรติเสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2535 การดูแลบริษัทกระจกไทยอาซาฮี ที่มียอดขายปีละประมาณ 7,000 ล้านบาท ตกอยู่กับ ชัยคีรี และ สมบัติผู้เป็นเสมือนลูกพี่ลูกน้อง และเมื่อ ชัยคีรีเสียชีวิตลง อาณาจักรกระจกไทยอาซาฮีย่อมอยู่ในเงื้อมมือของรุ่น 4

จากนี้ อนาคตของตระกูลศรีเฟื่องฟุ้ง จึงฝากชะตากรรมไว้กับรุ่น 4 ที่จะเข้ามาดูแลสืบทอดกิจการต่อไป โดยมีรุ่น 3 คอยประคับประคอง รวมถึงอาณาจักรพันล้านของตระกูลบนที่ดินขนาดใหญ่กว่า 3,000 ไร่ ในอ.บางละมุง พัทยา ที่ปัจจุบันเป็น ฮอร์สชู พอยท์ และลงทุนไปแล้วนับพันล้านบาท ทั้งโรงเรียนสอนขี่ม้านานาชาติ ฮอร์สชู พอยท์ รีสอร์ต แอนด์ คันทรี คลับ และ อุทยานสามก๊ก

และที่อุทยานสามก๊กนี้เอง ที่ เกียรติ ศรีเฟื่องฟุ้ง ทำจดหมายเปิดผนึกเป็นข้อความเป็นพินัยกรรมไว้สอนลูกหลานได้อย่างกินใจและแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลรอบด้านสมกับเป็นผู้บุกเบิกและผู้สร้างความมั่งคั่งให้กับศรีเฟื่องฟุ้งอย่างแท้จริง

“การรู้จักรักษาตัวรอดภายใต้ภาวะการณ์ต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญมาก พ่อของพ่อเป็นนักพนัน บางครั้งพ่อไม่ได้รับเงินค่าอาหารและค่าเล่าเรียนนับเป็นเดือนๆทีเดียว เมื่อตอนที่พ่อเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองจีน พ่อต้องเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอด ชีวิตมีวิธีที่จะเปลี่ยนความทุกข์ทรมานให้เป็นโชคลาภ พ่อหวังว่าลูกก็คงเหมือนกันคือจะมองความทุกข์ทรมานในชีวิตของลูกและเปลี่ยนมันให้เป็นประโยชน์”

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด แอสตัน วิลล่า พบ แมนยู พรีเมียร์ลีก วันนี้ 21 ธ.ค.68