posttoday

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6(2)

15 กันยายน 2556

ส่วนสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า ก็ทรงพระเมตตาเอาพระราชหฤทัยใส่ดูแลทั้งด้านพระอนามัยและความเป็นอยู่มาโดยตลอด

ด้วยเมื่อ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรหนักอยู่นั้น ได้มีพระราชดำรัสกับสมเด็จพระพันวัสสามาตุจฉาเจ้าว่า “ขอฝากลูกด้วย” ต่อมา สมเด็จพระพันวัสสามาตุจฉาเจ้ายังได้มีพระราชกระแสถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “เจ้าฟ้านี่ ฉันตายก็นอนตาไม่หลับ พระมงกุฎฝากฝังเอาไว้”

ระหว่างนั้นมีเหตุการณ์ผันผวนทางการเมืองหลายครั้ง เช่น การเปลี่ยนแปลงการปกครองและกบฏบวรเดช ทำให้ต้องทรงย้ายที่ประทับอยู่ตลอดเวลา เช่น ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี ในพระบรมมหาราชวัง พระตำหนักสวนหงส์ พระราชวังดุสิต ตำหนักเขาน้อย จ.สงขลา พระตำหนักสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ในสวนสุนันทา และพระตำหนักเขียว วังสระปทุม

ต่อมาพระนางเจ้าสุวัทนาโปรดให้สร้างตำหนักขึ้นเป็นส่วนพระองค์บนที่ดินหัวมุมถนนราชสีมาตัดกับถนนสุโขทัย ซึ่งเป็นที่ดินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่คราวอภิเษกสมรส ตำหนักแห่งนี้ประทานนามว่า สวนรื่นฤดี มีนายหมิว อภัยวงศ์เป็นสถาปนิก และ พล.ท.พระยาศัลวิธานนิเทศ (แอบ รักตะประจิต) เป็นวิศวกร ในขณะที่เสด็จไปประทับที่อังกฤษ ก็ได้ขายแก่ราชการ กลายเป็นส่วนราชการของกองทัพบกในปัจจุบัน

ในปี 2480 พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงเห็นว่าพระพลานมัยของพระธิดาไม่สู้สมบูรณ์นัก จึงนำพระธิดาไปทรงพระอักษรและประทับรักษาพระอนามัย ณ ประเทศอังกฤษ ซึ่งในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จไปประทับอยู่ก่อนการสละราชสมบัติแล้ว พระองค์ทรงย้ายที่ประทับหลายแห่งตามลำดับ กล่าวคือ ตำหนักแฟร์ฮิลล์ เมืองแคมเบอร์เลย์ มณฑลเซอร์เรย์ ตำหนักหลุยส์เครสเซนต์ เมืองไบรตัน มณฑลซัสเซค และตำหนักไดก์โรด (บ้านรื่นฤดี) เมืองไบรตัน มณฑลซัสเซค ทั้งสองพระองค์ต้องประสบความยากลำบากนานัปการอันเนื่องมาจากเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองในช่วงภาวะสงครามจึงทรงประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงการทำงานบ้านเองเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างข้าหลวงชาวต่างประเทศ โดยผู้ที่รับใช้ภายในพระตำหนักจะเป็นสตรีทั้งหมด

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่พระองค์ประทับ ณ ประเทศอังกฤษ พระนางเจ้าสุวัทนาฯ และพระธิดา ทรงมีพระกรุณาต่อชาวไทยในประเทศอังกฤษ โดยโปรดให้เข้าเฝ้าและจัดประทานเลี้ยงให้อยู่เสมอ และพระราชทานพระกรุณาแก่กิจการต่างๆ ของชาวไทยอย่างต่อเนื่อง ทรงร่วมงานของสามัคคีสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นสมาคมนักเรียนไทยในสหราชอาณาจักรเป็นประจำ นอกจากนี้ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์ยังทรงอุทิศพระองค์ช่วยเหลือกิจการสภากาชาดอังกฤษ ประทานแก่ทหารและผู้ประสบภัยสงครามด้วยการเสด็จไปทรงบำเพ็ญประโยชน์ เช่น ม้วนผ้าพันแผล จัดยา และเวชภัณฑ์ สภากาชาดอังกฤษจึงได้ถวายถวายเกียรติบัตรประกาศพระกรุณา และในขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมีพระชนมชีพหลังการสละราชสมบัติแล้ว พระองค์และพระธิดาได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่เป็นประจำ

พระองค์ทรงประสบความยากลำบากนานาประการ โดยเฉพาะในยามเศรษฐกิจฝืดเคืองอันเนื่องจากภาวะสงคราม พระองค์ทรงประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ และทรงรู้จักวิธีการหารายได้ ทรงเรียนรู้วิธีซื้อขายหุ้น ตลอดจนการทำธุรกิจซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ และทรงดำเนินการดังกล่าวได้อย่างชำนาญ

พระองค์และพระราชธิดาเสด็จกลับประเทศไทยเป็นการชั่วคราวเมื่อปี 2500 ทรงพระกรุณาโปรดให้สร้างวังในซอยสุขุมวิท 38 (ซอยสันติสุข) โดยมี พล.ร.ต.สมภพ ภิรมย์ ศิลปินแห่งชาติ เป็นสถาปนิก แล้วเสด็จไปประเทศอังกฤษอีกในปี 2501 เพื่อทรงเตรียมพระองค์เสด็จกลับประเทศไทยเป็นการถาวร จากนั้นจึงได้เสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นการถาวรในปี 2502 ประทับ ณ วังแห่งใหม่ จึงได้ขนานนามวังดังกล่าวว่า วังรื่นฤดี เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2503 ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 69 ซอยสุขุมวิท 38 กรุงเทพมหานคร และพระองค์ได้ประทับอยู่ตราบกระทั่งสิ้นพระชนม์

พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ทรงวางพระองค์ได้งามสม ทรงเป็นที่นับถือของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นพระชนนีผู้ประเสริฐ ดังจะเห็นได้จากพระอุปนิสัยและพระอัธยาศัยงดงามของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ล้วนแต่บังเกิดจากการอบรมของพระชนนีที่พระธิดาทรงงามสมพระอิสริยศักดิ์ ส่วนพระนางเจ้าสุวัทนาฯ เอง ก็มีพระอุปนิสัยร่าเริง ทรงสามารถรับสั่งกับบุคคลทุกอาชีพ ทุกวัยได้เป็นอย่างดี โปรดการเลี้ยงสุนัข โปรดการปลูกต้นไม้ และโปรดธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง

พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ทรงอุปการะกิจการเพื่อ การสาธารณประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น เมื่อครั้งทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา ในวันที่ 15 เม.ย. 2508 ได้ประทานเงินก่อสร้างอาคารสำหรับผู้ป่วยนอก และห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลจุฬา ลงกรณ์ 1 หลัง ประทานนามว่า “ตึกมงกุฎเพชรรัตน” นอกจากนี้ ทรัพย์สินส่วนพระองค์ ที่ทรงได้รับมรดกคือที่ดิน และบ้านของพระบุพการี ณ จ.ปราจีนบุรี ก็ทรงพระกรุณาประทานกรรมสิทธิ์ให้แก่ทางราชการ เมื่อทางราชการได้ใช้สถานที่ดังกล่าวสร้างโรงพยาบาล ก็ไม่ทรงใช้พระนามของพระองค์เป็นนามโรงพยาบาลแห่งนี้ หากแต่โปรดประทานนามว่า โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพื่อเป็นเกียรติแก่พระบรรพบุรุษ

ส่วนการพระศาสนานั้น ทรงศรัทธาบำเพ็ญพระกุศลโดยประการต่างๆ อยู่เสมอ โปรดเสด็จไปทรงทอดผ้าพระกฐินส่วนพระองค์ ทั้งในพระนคร และต่างจังหวัดทั่วทุกภาค ทรงเยี่ยมและประทานพระอนุเคราะห์ แก่ประชาชนอย่างสม่ำเสมอ

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประชวรด้วยพระอาการพระปัปผาสะอักเสบ กระทั่งสิ้นพระชนม์ในวันที่ 10 ต.ค. 2528 เวลา 17.09 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช ขณะพระชนมายุ 80 พรรษาเศษ

ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระโกศทองน้อย ประดิษฐานพระศพภายใต้ฉัตรโหมดทอง 5 ชั้น ณ พระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตร

เมื่อถึงงานพระเมรุ ได้อัญเชิญพระโกศโดยรถวอพระวิมานไปยังพระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส ในวันที่ 8 มี.ค. 2529 และพระราชทานเพลิงพระศพในวันเดียวกันนั้น และมีการเก็บพระอัฐิในวันที่ 9 มี.ค. และวันฉลองพระอัฐิเมื่อวันที่ 14 มี.ค. ซึ่งทั้งสองงานดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ปฏิบัติพระกรณียกิจแทนพระองค์ ส่วนพระอัฐิของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6 ได้ประดิษฐาน ณ หอพระนากในพระบรมมหาราชวัง และส่วนหนึ่งเชิญไปประดิษฐานยังวิมานพระอัฐิ วังรื่นฤดี

ส่วนพระอังคารของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีได้ประดิษฐาน ณ ใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จ.นครปฐม เคียงข้างพระราชสวามี ตามพระราชพินัยกรรมที่ทรงลิขิตไว้ว่า “...ส่วนเรื่องพระอัษฐินั้น ใครจะคิดอย่างไรก็ตาม แต่เราเห็นโดยจริงใจว่า สุวัทนาสมควรที่จะได้ตั้งคู่กับเรา” และภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดา จึงได้นำพระสรีรางคารส่วนหนึ่งมาบรรจุไว้เคียงข้างกับพระราชสรีรางคารของพระบรมราชชนก และพระชนนี

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด เบรนท์ฟอร์ด พบ ลีดส์ ยูไนเต็ด พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68