ผู้นำจีนกับการพัฒนาแบบก้าวกระโดด
พรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งกฎไว้เลยว่ามีบุคคล 4 กลุ่มที่พรรคไม่ต้องการให้มาเป็นผู้นำจีนอย่างเด็ดขาด
โดย...รวิภาส กล่ำทวี ที่ปรึกษาด้านวิชาการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ/[email protected]
ท่านผู้อ่านหลายต่อหลายท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนจึงกลายเป็นประเทศที่ทั้งโลกจัดให้เป็นมหาอำนาจทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง ทั้งที่ภายในประเทศจีนเองมีปัญหาที่รัฐบาลของเขาจะต้องแก้ไขมากมายหลายประการ
ก่อนที่จะเข้าสู่คำตอบ เราลองมาดูประวัติความเป็นมาของจีนคร่าวๆ กันก่อน เริ่มตั้งแต่ยุคก่อนการก่อตั้งประเทศจีนผ่านการได้รับชัยชนะทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งก่อนหน้านี้จีนเต็มไปด้วยการสู้รบและการสูญเสียชีวิตผู้คนและทรัพย์สินจำนวนมากมายมหาศาล ตามมาด้วยยุคของการก่อตั้งเป็นประเทศโดยผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ชื่อดังเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกอย่างประธานเหมาเจ๋อตง ในปี ค.ศ. 1949 ซึ่งก็ถือว่าเป็นยุคที่จีนยังล้มลุกคลุกคลานลองผิดลองถูก และยังอยู่ในห้วงแห่งการแย่งชิงและหวงแหนอำนาจของกลุ่มคนระดับผู้นำ
ยุคต่อมาซึ่งถือว่าเป็นยุคที่มีความสำคัญมากและเป็นยุคที่ทำให้ประเทศจีนกลายเป็น|มหาอำนาจจนกระทั่งถึงปัจจุบันได้แก่ ยุคแห่งการปฏิรูปและเปิดประเทศจีนในปี ค.ศ. 1978 โดยผู้นำตัวเล็กแต่ทรงอิทธิพลและอำนาจได้แก่ ผู้นำเติ้งเสี่ยวผิง ผู้ซึ่งทำให้ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของจีนได้รับการบันทึก และทำให้ประเทศจีนโลดแล่นอยู่บนถนนแห่งความเป็น|มหาอำนาจทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองจนถึงทุกวันนี้
ถ้านับตั้งแต่จีนเปิดประเทศในปี ค.ศ. 1978 จนถึงปัจจุบันก็ผ่านมาประมาณ 30 กว่าปี ภายในระยะเวลาเพียง 3 ทศวรรษ ประเทศจีนกลายเป็นประเทศที่ปัจจุบันมีประชากรมากที่สุดในโลกถึง 1.3 พันล้านคน มีปริมาณการใช้โทรศัพท์มือถือถึง 2 ใน 3 ของระบบโทรศัพท์ทั้งหมดของประเทศจีน มีประชากรที่ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดในโลกแซงหน้าสหรัฐอเมริกาถึงกว่า 500 ล้านคน มีการคาดการณ์จากสถาบันด้านเศรษฐกิจระดับโลกหลายสำนักว่าจีนจะมีขนาดจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) แซงหน้าอเมริการะหว่างปี ค.ศ. 2020-2030 ทั้งนี้ยังไม่นับรวมความก้าวหน้าในด้านอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก
ต้องขอย้ำอีกครั้งนะครับว่าภายในระยะเวลา 30 กว่าปีเท่านั้นที่จีนสามารถพัฒนาประเทศของตนเองจนก้าวเข้าสู่ความยิ่งใหญ่ระดับโลก และคำตอบของคำถามข้างต้นว่าการพัฒนาดังกล่าวเกิดจากอะไรหรือเพราะอะไร ได้แก่ ลักษณะความเป็นผู้นำของผู้นำจีนในทุกยุคทุกสมัย
มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนโดย Robert Lawrence Kuhn นักวิทยาศาสตร์และนักการธนาคารเพื่อการลงทุนชาวอเมริกันที่มีความสัมพันธ์และสนิทชิดเชื้อกับบรรดาผู้นำจีนจำนวนมากทั่วประเทศ หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า How China’s Leaders Think (Revised Edition) 2011 ซึ่งผู้เขียนถือว่าเป็นหนังสือที่รวบรวมแนวคิดด้านการบริหารประเทศของบรรดาผู้นำจีนไว้ได้อย่างครอบคลุมและมากมายมหาศาล
แต่สิ่งที่มีความสำคัญยิ่งไปกว่านั้น ได้แก่ การนำเอาสาระสำคัญบางส่วนของหนังสือมาประกอบในการถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบเป็นความรู้ประดับสมองว่าการขับเคลื่อนประเทศจีนจากอดีตจนถึงปัจจุบันล้วนเกิดจากฝีมือของบรรดาผู้นำจีนที่ไต่เต้าจากระดับมณฑลเข้าไปสู่การเป็นกรรมการบริหารพรรคและกลายเป็นผู้นำประเทศระดับสูงถึงสูงสุดในที่สุด
จากหลักฐานที่ปรากฏพบว่าบรรดาผู้นำจีนทุกยุคทุกสมัยต่างยึดถือในหลักการการบริหารประเทศที่เหมือนกันอยู่ 4 ประการ ได้แก่ ความภาคภูมิใจในเกียรติภูมิของตนเอง (Pride) ความมีเสถียรภาพ (Stability) ความรับผิดชอบ (Responsibility) และความมีวิสัยทัศน์ (Vision)
จากทั้ง 4 ข้อจะเห็นว่าบรรดาผู้นำประเทศจีนตั้งแต่ระดับเล็กไปจนถึงใหญ่จะให้ความสำคัญกับ 2 หลักการแรกอย่างเหนียวแน่น เนื่องจากเป็นหลักการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง (Security) ของประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากประเทศจีนเป็นประเทศที่มีความกว้างใหญ่ทั้งด้านเนื้อที่และประชากร กว่าจะสามารถก่อตั้งจนเป็นประเทศที่มีประชากรและมีอาณาเขตที่ชัดเจนได้ต้องอาศัยระยะเวลานับพันปี
โดยหลักทฤษฎีและปฏิบัติแล้วบรรดาผู้นำจีนต่างทุ่มเทและให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงของประเทศมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของการปลูกฝังความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติในแต่ละบุคคล และสิ่งที่จีนกำลังทำอยู่ได้แก่ การปลูกฝังค่านิยมการรักประเทศและความสมัครสมานสามัคคีผ่านทางกิจกรรมทั้งทางด้านการเมืองและสังคมทุกรูปแบบ
อีกประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในระดับคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้แก่ การที่พรรคตั้งเป็นกฎเหล็กไว้เลยว่ามีบุคคล 4 กลุ่มที่พรรคไม่ต้องการให้มาเป็นผู้นำจีนอย่างเด็ดขาด ประกอบด้วยกลุ่มคนดังต่อไปนี้
กลุ่มคนที่มุ่งใช้อำนาจเพื่อแสวงหาประโยชน์เข้าตนเอง ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนถือว่าเป็นกลุ่มคนที่อันตรายที่สุดและเป็นต้นเหตุให้เกิดการคอร์รัปชั่นไปทั่วประเทศถ้าให้ขึ้นมามีอำนาจ
กลุ่มคนที่เป็นตัวการในการสร้างเครือข่ายส่วนตัวผ่านทางข้าราชการประจำและข้าราชการการเมืองเพื่อหวังเข้าไปมีผลประโยชน์ระดับประเทศ ซึ่งกลุ่มคนพวกนี้จะไม่สนใจเรื่องจริยธรรม ความซื่อสัตย์ และความถูกต้องดีงามใดๆ ทั้งสิ้น จุดประสงค์เดียวคือก้าวไปสู่ผลประโยชน์ผ่านการใช้เครือข่าย
กลุ่มคนที่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกแต่ทำเป็นเฉยไม่สนใจและไม่กล้าที่จะเปิดเผยความชั่วของคนอื่นเพียงเพื่อเอาตัวเองรอดไปวันๆ กลุ่มคนพวกนี้ถ้าเห็นอะไรผิดจะไม่เข้าไปยุ่งและปล่อยผ่านทำให้เกิดความเสียหายขยายวงกว้าง
กลุ่มคนที่ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในบทบาทและหน้าที่ของตนเอง วันๆ เอาแต่นั่งจิบกาแฟ สูบบุหรี่ และคุยเรื่องไร้สาระเรื่อยเปื่อย
บุคคลที่กล่าวมาทั้งหมดทั้ง 4 กลุ่มจะไม่มีที่ว่างให้แทรกขึ้นไปเป็นผู้นำระดับสูงของจีน...


