posttoday

มูโซยู ในความไร้หัวใจยังเต็มอิ่ม

25 เมษายน 2553

ยามใดที่เรามิได้ครอบครองสิ่งใด ยามนั้นเราได้ครอบครองแล้วซึ่งทุกสิ่งในสากลโลก

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมนึกถึงคำสอนอันล้ำค่าของ พอพจอง ซูนิม พระภิกษุที่ได้รับความเคารพนับถือมากที่สุดท่านหนึ่งแห่งเกาหลีใต้ คำสอนอันล้ำค่านี้ช่วยให้ผมผ่านพ้นสิ่งกีดขวางในใจที่เข้ามารบกวนระหว่างการเดินทางบนถนนชีวิตอันวกวน ช่วยขับไล่ความสงสัยที่เข้ามารบเร้ากลางค่ำคืนอันรุ่มร้อน และคอยช่วยตักเตือนว่า ความปรารถนานั้นไม่อาจถมได้เต็มเฉกเช่นมหาสมุทรที่ไร้ก้นบึ้ง

คำสอนอันเป็นหลักการอันสูงส่งนี้ช่วยให้อีกนับล้านคนค้นพบสิ่งที่ตน ครอบครองอยู่แล้ว แต่ไม่เคยตระหนักถึง

พระอาจารย์พอพจอง ได้ละสังขารแล้วเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2553 วันเดียวกับที่ผมรู้จักพระอาจารย์พอพจอง และหลักการ มูโซยูของท่านเป็นครั้งแรก

คำว่า มูโซยู คือหลักการเช่นไร?

ด้วยความรู้ต้อยต่ำของผม มูโซยู อาจหมายความอย่างคร่าวๆ ถึงการไม่ครอบครองในสิ่งใด หากเทียบกับคำในภาษาบาลีคงใกล้เคียงกับ อนุปาทาน

แต่หลักการมูโซยูนั้นมีความลึกล้ำยิ่งกว่า ก้าวพ้นไวยากรณ์แห่งบาลี สันสกฤต หรือภาษาจีน อันเป็นภาษาหลักของพุทธศาสนามหายาน และหลักการของพระอาจารย์พอพจอง หาได้ต้องการคำอธิบายอันซับซ้อนเยี่ยงอภิปรัชญา มิจำเป็นจะต้องข้องเกี่ยวอันใดกับจริยศาสตร์

เพราะความไม่ครอบครอง และการตระนักถึงความไร้ในสรรพสิ่ง ล้วนแต่มีรากฐานเดียวกัน คือความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ไม่ยึดมั่นกระทั่ง หลักการแห่งความไม่ยึดมั่นถือมั่น

ความสมถะอันเกิดจากความปรารถนาจะดำรงตนอย่างสมถะ หาใช่ความสมถะไม่

พระอาจารย์พอพจอง ไม่เพียงสอนสั่งสานุศิษย์เพียงโวหาร แต่ยังดำเนินตามคำสอนราวกับตัวท่านคือหนึ่งเดียวกับหลักการ มูโซยู ท่านดำรงชีพอย่างเรียบง่ายในอาศรมกลางป่า ไม่ปรารถนาสิ่งของอันใดนอกเหนือจากความจำเป็นอย่างยิ่งยวดสำหรับชีวิตเพียงไม่กี่สิ่ง ดนตรีแห่งพงไพร ดอกไม้หลากสีแบ่งปันความงาม และหนังสือบางเล่มคือความฟุ่มเฟือยเล็กน้อยสำหรับความสันโดษอันเป็นแบบอย่างให้กับชาวเกาหลีใต้ เหล่าชนผู้สับสนกับวิถีชีวิตท่ามกลางความเร่งรีบและร้อนรุ่ม

เราไม่อาจวัดความสุขและความทุกข์ของเราด้วยเงื่อนไขภายนอกเพียงอย่างเดียว แม้ว่าเราจะครอบครองสิ่งต่างๆ มากมาย แต่หากมิได้ทราบถึงวิถีแห่งชีวิต เราย่อมเป็นทุกข์ แต่หากแม้นเรามีสิ่งครอบครองเพียงเล็กน้อย แต่ทราบถึงวิถีแห่งชีวิต เราย่อมเป็นสุขอย่างแน่แท้

พอพจอง ซูนิม (Beopjeong Sunim ซูนิมหมายถึงพระอาจารย์) มีชื่อเดิมว่า พักแจชอล เกิดที่เมืองแฮนัม เมื่อปี ค.ศ 1932 ต่อมาบวชเป็นภิกษุในพุทธศาสนาระหว่างศึกษาในมหาวิทยาลัยเมื่อปี ค.ศ. 1954 โดยถวายตัวเป็นศิษย์ ฮโยบอง ซูนิม พระอาจารย์นิกายซอน (หรือนิกายเซน) ผู้โด่งดัง ต่อมาปลีกวิเวกสู่อาศรมพูนิล ไม่ไกลจากวัดซงวัง ที่ท่านอุปสมบท ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย และเผยแพร่วิถีของท่านผ่านงานเขียนที่รวบรวมเป็นเล่มในชื่อ มูโซยูเมื่อปี ค.ศ. 1976

มูโซยูกลายเป็นหนังสือขายดีเป็นประวัติการณ์มียอดหลายล้านเล่มจนถึงทุกวันนี้ จุดแสงสว่างให้ชาวเกาหลีใต้ทั้งพุทธศาสนิกชนและศาสนาอื่นๆ ได้ซึมซับถึงความเรียบง่ายของชีวิตที่กำลังถูกลืมไปจากสังคมอันยุ่งเหยิง

หลังจากนั้นนามของพระอาจารย์พอพจองจึงเลื่องลือไปทั่วสารทิศ แต่ก็ได้ทำลายความสันโดษของท่านอย่างสิ้นเชิง พระอาจารย์ตัดสินใจปลีกวิเวกสู่ทิวเขาลึกของจังหวัดคังวอนโด หากยังคงเผยแพร่งานเขียนเพื่อจุดปัญญาแด่สรรพสัตว์ด้วยจิตเมตตาเช่นเดิม ตราบจนวันสุดท้ายยังไม่ละทิ้งไว้ซึ่งวิถีแห่งโพธิสัตว์ผู้พอเพียง

หากจะไถ่ถามว่าวิถีชีวิตอันสันโดษของพระอาจารย์นั้นเป็นเช่นใด ข้อเขียนของท่านชิ้นหนึ่ง คงให้ภาพที่ชัดเจนสำหรับหลายคน

ชางฮอน (นักปราชญ์สมัยราชวงศ์โชซอน) เคยกล่าวว่า ความสุขของเขาคือสามารถอ่านออกเขียนได้ มีมิตรสหายที่ดี มีหนังสือ และอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ สิ่งนี้คือความสุขที่บริสุทธิ์และเรียบง่ายอย่างแท้จริง หลังจากที่อาตมาอ่านข้อความของชางฮอน จึงหวนมาคำนึงถึงพรที่ตัวเองได้รับ ประการแรก อาตมามีอาจารย์และหนังสือไม่กี่เล่มเป็นมิตรสหาย แม้จะอยู่อย่างเดียวดายในทิวเขา อาตมายังมีเรี่ยวแรงและต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกวันด้วยแรงหนุนจากหนังสือเหล่านี้ ประการที่สอง ยามที่อาตมารู้สึกหิวหรืออ่อนล้า อาตมาจะดื่มชา เพราะชาเป็นเหมือนรังสีเรืองรองที่ส่องประกายชีวิตอาตมา ประการที่สาม อาตมามีดนตรีช่วยกล่อมเกลาชีวิตเรียบง่าย อาตมายังยินดีและรู้สึกสำนึกบุญคุณที่มีสวนผักที่รอการเก็บเกี่ยว ทั้งหนังสือ ชา ดนตรี และสวนผักคือสิ่งที่มีบุญคุณอย่างยิ่ง เพราะล้วนแต่ช่วยประคับประคองชีวิตของอาตมาไม่ให้หลุดลอยไป

มูโซยูความไร้ หาใช่โลกุตรธรรมอันซับซ้อนสำหรับนักตรรกะวิภาษ แต่ลึกซึ้งในความเรียบง่าย แม้เพียงผู้ไม่รู้จักอักขระสักตัวยังอาจเขาถึงจิตอันสงบด้วยคำคำนี้

แต่ มูโซยู ก็เฉกเช่นทุกหลักการ ย่อมแฝงไว้ด้วยสัมพันธภาพของนัย ประการฉะนี้ ในบริบทหนึ่ง การไม่ยึดติดอาจหมายถึงความพอเพียงก็จริง แต่ในขณะเดียวกันความพอเพียงอาจหมายถึงการยึดติดโดยไม่รู้ตัว พระอาจารย์ กล่าวว่า

คนผู้ปรารถนาจะครอบครองต้องสละซึ่งการครอบครอง คนผู้ปรารถนาจะเป็นในทุกสิ่งจะต้องไม่เป็นในทุกสิ่ง แม้ท่านสละแล้วซึ่งบางสิ่ง ท่านต้องก้าวให้พ้นหลักการของการปล่อยวาง จงอย่ายึดติดในสิ่งดีๆ ที่ได้ทำไป สิ่งเหล่านั้นจะผ่านไปเฉกเช่นสายลมพัดผ่านแมกไม้

พระอาจารย์เป็นที่ศรัทธา หาใช่เพราะสร้างถาวรวัตถุอันตระการดุจราชรถ ท่านเพียงพำนักในกระท่อมชาวนาเก่าคร่ำคร่าท่ามกลางภูผาเดียวดาย แต่แล้วชื่อเสียงกลับระบือไกลไปทั่วโลก

แต่พระอาจารย์ไม่แสวงหาชื่อเสียง กับทั้งไม่กริ่งเกรงผู้มีชื่อเสียงล้นฟ้า กล้าทัดทานกระทั่งประธานาธิบดีที่มุ่งหมายพัฒนาประเทศบนความย่อยยับของระบบนิเวศ กระนั้นประธานาธิบดีผู้ถูกทัดทานยังยอมค้อมคำนับรับฟังด้วยจิตคารวะ

พระอาจารย์เทิดทูนวิถีสูงสุดแห่งพุทธศาสนา คือ ความว่างเปล่า แต่ท่านหาได้ยกย่องพุทธศาสนาเหนือศาสนาอื่น สหายต่างศรัทธาจึงยกย่อง อีกทั้งยังน้อมรับหลักการไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยความเคารพในตัวพระอาจารย์ด้วยใจจริง

หากไถ่ถามว่าวิถีสันโดษแห่งพระอาจารย์พอพจองนั้นเป็นเช่นไร? คำตอบนั้นอาจอยู่ในความปรารถนาสุดท้ายของภิกษุผู้ไม่ปรารถนาสิ่งใด

ขอจงอย่าตัดไม้อันล้ำค่า ให้ใช้ไม้ฟืนเหลือเก็บนำมาปลงร่างอาตมาบนลานหินที่เคยนั่งภาวนาสมาธิ ขอให้โปรยเถ้าอังคารของอาตมาใต้ต้นอาซีเลีย ต้นไม้เหล่านี้จะเบ่งบานดอกใบในยาม วสันตฤดู

อาตมารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณต่อทุกคนและขอขมาในสิ่งที่เคยได้กระทำผิดพลาดลงไปในชีวิตนี้ โปรดจงนำสิ่งของของอาตมาที่ละทิ้งไว้เพื่อยังประโยชน์ให้แก่สังคมที่สุขสงบและผ่องใส

ถึงเวลาที่อาตมาจะสละแล้วซึ่งเทศะและกาละทั้งปวง

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2