posttoday

สมาชิกวุฒิสภา (สว.) : มีไว้ทำไม เพื่อใคร

21 สิงหาคม 2556

ผมเข้าใจว่า เหตุที่มีการออกแบบให้ประเทศไทยมี “ระบบรัฐสภาแบบสภาคู่” กล่าวคือ มีทั้ง “สภาผู้แทนราษฎร” และ “วุฒิสภา” เพราะต้องการให้วุฒิสภาทำหน้าที่ทางนิติบัญญัติในฐานะผู้กลั่นกรองกฎหมายให้รัดกุมรอบคอบมากกว่าในระบบ “สภาเดียว” หรือสภาผู้แทนราษฎร โดยให้วุฒิสภาไม่ต้องตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล ซึ่งเท่ากับการให้วุฒิสภาเป็น “สภาตรวจสอบ” และกลั่นกรองกฎหมาย

ผมเข้าใจว่า เหตุที่มีการออกแบบให้ประเทศไทยมี “ระบบรัฐสภาแบบสภาคู่” กล่าวคือ มีทั้ง “สภาผู้แทนราษฎร” และ “วุฒิสภา” เพราะต้องการให้วุฒิสภาทำหน้าที่ทางนิติบัญญัติในฐานะผู้กลั่นกรองกฎหมายให้รัดกุมรอบคอบมากกว่าในระบบ “สภาเดียว” หรือสภาผู้แทนราษฎร โดยให้วุฒิสภาไม่ต้องตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล ซึ่งเท่ากับการให้วุฒิสภาเป็น “สภาตรวจสอบ” และกลั่นกรองกฎหมาย

นอกจากนี้ ในรัฐธรรมนูญฯ ฉบับ พ.ศ. 2540 และฉบับ พ.ศ. 2550 ต้องการให้วุฒิสภา เป็นสภากลั่นกรองเพื่อเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและลงมติถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญอื่นๆ

การทำหน้าที่ของวุฒิสภาดังกล่าว จึงจำเป็นต้องอาศัยบุคคลที่จะมาเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่ต้องทำหน้าที่เหมือน “เปาบุ้นจิ้นทางการเมือง” ที่มีคุณสมบัติมีความเป็นอิสระทางการเมือง อิสระจากการครอบงำของนักการเมืองที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคการเมือง และเป็นอิสระจากระบบราชการ และเป็นอิสระจากธุรกิจ

การเป็นอิสระจากฝ่ายการเมืองนั้นหมายถึง การไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะบางคนแม้ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง แต่เคยมีผลประโยชน์ได้เสียทางการเมืองอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะการเป็นแกนนำหรือเป็นหัวคะแนนให้พรรคการเมือง นอกจากนั้น การเป็นอิสระจากฝ่ายการเมืองและพรรครัฐบาลเพียงอย่างเดียวก็ไม่พออีกเช่นกัน การเป็นอิสระจากฝ่ายการเมือง หมายถึง การไม่มีญาติสนิท เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือสามีภรรยา เป็นสมาชิกคนสำคัญของพรรคการเมือง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น สว.ก็ยากที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอิสระและมีความเป็นกลางได้

การเป็นอิสระจากระบบราชการ หมายถึง การไม่มีญาติสนิท เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือสามีภรรยา เป็นข้าราชการระดับสูง เพราะสามารถที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ สว.มีสามีหรือภรรยาเป็นข้าราชการระดับสูง ก็เหมือนมีฝ่ายการเมืองคอยอุปถัมภ์ค้ำชูอยู่ข้างหลัง ซึ่งก็ยากที่จะทำให้ สว.ท่านนั้นปฏิบัติตัวเป็นกลางได้

การเป็นอิสระจากภาคธุรกิจ ภาคเอกชน เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะเป็นที่มาของ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” (Conflict of Interrest) ซึ่งเป็นตัวการที่ทำลายการปฏิรูปทางการเมืองและเป็นต้นเหตุของการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย การที่ สว.มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดหรือมีผลประโยชน์ในทางธุรกิจร่วมกับพ่อค้าหรือนักธุรกิจภาคเอกชน ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง

โจทย์คำถามที่ว่า “มีสมาชิกวุฒิสภา ทำไม และเพื่อใครนั้น” ผมจึงเข้าใจว่าเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบและกลั่นกรองกฎหมาย และที่สำคัญเลือกบุคคลทำหน้าที่ในองค์กรอิสระ เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติและประชาชน ดังนั้นการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาจึงเป็นประเด็นสำคัญ เกี่ยวกับคุณสมบัติและวิธีการลักษณะต้องห้ามต่างๆ ต้องมีความเข้มข้นและรัดกุมให้มาก

รัฐธรรมนูญฯ ฉบับ พ.ศ. 2540 ออกแบบให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน และมีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี ซึ่งมีข้อกำหนดคุณสมบัติต้องห้ามไว้มากเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นกลางของ สว. เช่น ไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และต้องพ้นจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่เกินหนึ่งปี

การแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ฉบับ พ.ศ. 2550 ให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กลับมาใช้ระบบการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรงเหมือนรัฐธรรมนูญฯ ฉบับ 2540 ซึ่งผมเห็นด้วย แต่ผมเห็นว่าต้องมีการกำหนดเงื่อนไขให้ สว.มีความเป็นกลางทางการเมืองจริงๆ และให้กำหนดคุณสมบัติให้เข้มงวดให้มากกว่ารัฐธรรมนูญฯ ฉบับ 2540 เพราะในอดีตการทำหน้าที่ของ สว.มีข้อกล่าวหาว่า “เป็นสภาทาส” และ “สภาผัว สภาเมีย”

โดยเฉพาะการกำหนดให้คุณสมบัติผู้สมัครเป็น สว.ต้องไม่มีพื้นฐานของอดีด สส.เก่า ที่อิงแอบอยู่กับพรรคการเมือง ต้องไม่มีญาติหรือพี่น้อง ผัวเมีย เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือเคยเป็นรัฐมนตรีในโควต้าของพรรคการเมือง

ผมเข้าใจว่า สว.ที่มาจากการสรรหาโดยวิธีการสรรหาตามรัฐธรรมนูญฯ ฉบับ 2550 มักถูกเรียกว่า เป็น สว.แต่งตั้ง ซึ่งในอดีตผู้แต่งตั้ง สว. ก่อนรัฐธรรมนูญฯ ฉบับ 2540 ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลเป็นผู้เสนอชื่อ หรืออาจจะเป็นผลผลิตของฝ่ายทหารที่ทำการรัฐประหาร ส่วนในรัฐธรรมนูญฯ ฉบับ 2550 ที่ใช้ระบบการสรรหาและให้มีคณะกรรมการคัดเลือก ซึ่งส่วนใหญ่มาจากฝ่ายศาลและตุลาการ มักถูกมองว่ามีผู้คัดเลือกเพียงไม่กี่คน ซึ่งก็ต้องมีคำอธิบายหรืออาจจะเปลี่ยนแปลงวิธีการใหม่

ผมเข้าใจว่าต้องกลับไปพิจารณาว่า จะมี สว.ไปทำไมแล้วมีไว้เพื่อใคร ซึ่งคำตอบก็ชัดอยู่แล้วว่า ให้ทำหน้าที่ของตนเองโดยอิสระปราศจากการครอบงำจากฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) แต่ถ้ามี “ธงคำตอบ” ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญให้ สว.อยู่ในอาณัติหรือเป็นร่างทรงของฝ่ายรัฐบาล เพื่อกินรวบประเทศไทยก็จะมี สว.ไปทำไม

ผมเข้าใจว่าสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จะมีประโยชน์ต่อประเทศชาติก็ต่อเมื่อทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง มีอิสระ ไม่ถูกครอบงำโดยฝ่ายการเมือง หรือฝ่ายรัฐบาล

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบ นักลงทุนรอข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสัปดาห์นี้