ก่อการร้าย
...สราวุธ เบญจกุล
การก่อการร้ายเป็นอาชญากรรมที่มีมานานแล้ว เพียงแต่มีการพัฒนารูปแบบและวิธีการให้มีความร้ายแรงมากยิ่งขึ้น โดยอาจใช้วิธีการที่แตกต่างกันไปในการก่ออาชญากรรม เช่น การวางระเบิด การใช้อาวุธเคมี การลอบสังหารบุคคลสำคัญ หรือการจี้เครื่องบินพุ่งเข้าชนอาคารดังเหตุการณ์ 911 แต่ก่อให้เกิดผลเหมือนกันคือ มีการทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้ต้องบาดเจ็บและเสียชีวิต และก่อให้เกิดความไม่สงบสุขขึ้น
เพื่อป้องกันและปราบปรามปัญหาที่เกิดขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2546 มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา กำหนดให้การก่อการร้ายนั้นเป็นความผิดทางอาญา โดยความผิดฐานก่อการร้ายผู้กระทำผิดต้องมีเจตนาพิเศษโดยมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ ให้กระทำหรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน โดยกระทำการดังนี้
ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ
กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ
กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด หรือของบุคคลใด หรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ
การกระทำความผิดฐานก่อการร้าย มีอัตราโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 6 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท
แต่มีเหตุยกเว้นไม่เป็นความผิดฐานก่อการร้ายถ้าเป็นการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือหรือให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องเป็นการใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 นั่นเอง
ความผิดอีกฐานที่เป็นการกระทำในลักษณะขู่เข็ญว่าจะกระทำการก่อการร้าย โดยมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะกระทำการตามที่ขู่เข็ญจริง หรือสะสมกำลังพลหรืออาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สิน ให้หรือรับการฝึกการก่อการร้าย ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกัน เพื่อก่อการร้าย หรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อก่อการร้าย หรือยุยงประชาชนให้มีส่วนร่วมในการก่อการร้าย หรือรู้ว่ามีผู้จะก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปีถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 4 หมื่นบาท ถึง 2 แสนบาท โดยผู้สนับสนุน จะต้องรับโทษเช่นเดียวกับตัวการที่เป็นผู้กระทำความผิดด้วย
และหากปรากฏว่าบุคคลใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งมีมติหรือประกาศภายใต้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กำหนดให้เป็นคณะบุคคลที่มีการกระทำอันเป็นการก่อการร้าย และรัฐบาลไทยได้รับรองมติหรือประกาศดังกล่าวด้วยแล้ว การกระทำผิดดังกล่าวมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท
ผู้กระทำความผิดฐานก่อการร้ายอาจต้องรับโทษในความผิดฐานอื่นด้วย เช่น หากเป็นการก่อการร้ายโดยคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ไม่จำกัดว่าจะเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ หรือเป็นองค์กรขนาดใหญ่ บุคคลที่เป็นสมาชิกของคณะบุคคลหรือองค์กรเพื่อก่อการร้ายนั้น ถือว่าได้กระทำความผิดฐานอั้งยี่ด้วย และอาจต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 1.4 หมื่นบาท
ความผิดฐานก่อการร้ายเป็นภัยร้ายแรงและมีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงของประเทศ ในต่างประเทศเองก็มีการบัญญัติกฎหมายให้การก่อการร้ายเป็นความผิด เช่น สหรัฐมีการออกกฎหมายให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงอันอาจนำไปสู่การก่อการร้าย เช่น การดักฟังโทรศัพท์ การเข้าถึงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสิทธิส่วนบุคคล เป็นต้น
ดังนั้น ความผิดฐานก่อการร้าย จึงกำหนดขึ้นเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ตลอดทั้งภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศให้มีประสิทธิภาพ และเมื่อมีการกล่าวหาและฟ้องร้อง ศาลยุติธรรมจะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง ศาลจะไม่พิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น เพื่อเป็นหลักประกันการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน


