posttoday

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (จบ)

28 กรกฎาคม 2556

ต่อนี้ไปจักอธิบายสัจจะทั้ง 4 นั้น พอเป็นทางประดับสติปัญญาแก่ผู้สดับ ตามนัยอุเทศ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยกชาติ ชรา มรณะ

หมายเหตุ : เนื้อหาต่อไปนี้เป็นตอนจบของเทศนา เรื่อง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) อดีตเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส แสดงไว้ และ “คาบใบลานผ่านลานพระ” ได้นำมาเสนอต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนซึ่งเป็นวันอาสาฬหบูชา อันเป็นวันที่พระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก และเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่ได้จากการตรัสรู้ คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งเป็นปฐมเทศนา

ต่อนี้ไปจักอธิบายสัจจะทั้ง 4 นั้น พอเป็นทางประดับสติปัญญาแก่ผู้สดับ ตามนัยอุเทศ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยกชาติ ชรา มรณะ ขึ้นแสดงว่า เป็นประธานแห่งทุกข์ ถ้าจะแสดงเนื้อความตามนัยแห่งพระอรรถกถาจารย์ก็กว้างขวางมาก จะแสดงพอได้ใจความ

ชาติ แปลว่า ความเกิด จัดโดยกำเนิดเป็น 4 คือ สังเสทชะ 1 อัณฑชะ 1 ชลาพุชะ 1 อุปปาติกะ 1 สังเสทชะ เกิดด้วยน้ำไม่สะอาด อัณฑชะ เกิดเป็นฟองก่อน ชลาพุชะ เกิดเป็นตัวอยู่ในครรภ์ อุปปาติกะ เกิดปรากฏใหญ่ขึ้นทันทีตามนัยที่มาต่างๆ

ท่านชี้ตัวอย่าง สังเสทชะนั้น ได้แก่ สัตว์ที่อาศัยน้ำสกปรกเกิดขึ้น ดังเรือดไร เป็นต้น

อัณฑชะนั้น ได้แก่ สัตว์ที่เกิดจากฟองมีนกและไก่ เป็นต้น

ชลาพุชะนั้น ได้แก่ สัตว์ที่คลอดออกเป็นตัวทีเดียวดังมนุษย์และสัตว์บางจำพวก เป็นต้น

อุปปาติกะนั้น ได้แก่ เทวดาและสัตว์นรกเป็นตัวอย่าง

ว่าชาติ ความเกิด ถ้าจะวินิจฉัยตามทางวิปัสสนานัย ท่านไม่ประสงค์การเพ่งภายนอก การเห็นภายนอกท่านให้เพ่งในตนอย่างเดียว ถ้าจะถือเอาเนื้อความตามนัยนี้ อุปปาติกะ ได้แก่ เมื่อคลอดออกจากครรภ์มารดา ก่อนแต่คลอดยังอยู่ในครรภ์มารดา มีอวัยวะศีรษะมือเท้าบริบูรณ์แล้ว ในระหว่างเพียงเท่านี้ ชื่อว่า ชลาพุชะ ก่อนแต่ชลาพุชะคือยังเป็นก้อนเป็นแท่งกลมอยู่ ตั้งอยู่ในครรภ์ของมารดา

ในระหว่างเพียงเท่านี้ ชื่อว่า อัณฑชะ ก่อนแต่อัณฑชะคือยังไม่ข้นแข็ง จะเป็นน้ำหรือเป็นโลหิตใสหรือข้นก็ตาม ในระหว่างกาลเพียงเท่านี้ ชื่อว่า สังเสทชะ ในสัตตนิกายโดยมากย่อมได้กำเนิด 4 ดังนี้ทั่วกัน อยู่ในกำเนิดใด ก็ชื่อว่าชาติทั้งนั้น

ชาตินี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ ถ้าจะย่นชาติความเกิดลงให้สั้นคงเหลืออยู่ 2 ประการ คือ ปฏิจฉันนชาติความเกิดที่ปกปิด ไม่พิจารณา ไม่เห็น ได้แก่ ตั้งต้นแต่ปฐมปฏิสนธิวิญญาณมาตลอดไปถึงวันมรณะเป็นที่สุด ชื่อว่า ชาติ

ความเกิดอยู่เสมอประการหนึ่ง อัปปฏิจฉันนชาติ ความเกิดไม่ปกปิด ได้แก่ คลอดจากครรภ์ของมารดา รู้ทั่วกันว่า เกิดวันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น ชื่อว่า ชาติ ประการหนึ่ง

ส่วนชราความแก่นั้น ก็คงย่นลงมีประเภทเป็น 2 เหมือนกัน คือ เป็นปฏิจฉันนชรา ความแก่ที่ปกปิด ไม่พิจารณา ไม่เห็น ได้แก่ ชราที่มีมาตั้งแต่ปฐมปฏิสนธิมา คือเกิดขึ้นวันใด ชราความแก่ก็ติดกันมา แก่วัน แก่คืน มาตามลำดับ ชื่อว่า ชรา ประการหนึ่ง อัปปฏิจฉันนชรา ความแก่ที่เปิดเผย ได้แก่ ผู้ตั้งอยู่ในปัจฉิมวัย มีอวัยวะพิการ คือ ผมหงอกฟันหัก เป็นต้น ชื่อว่า ชรา ประการหนึ่ง

ส่วนมรณะก็มี 2 เหมือนกัน คือ ปฏิจฉันนมรณะความตายที่ปกปิด ได้แก่ ความตายตั้งต้นแต่ปฐมปฏิสนธิวิญญาณมา ก็ตายตามลำดับมา คือว่าสูญไป หายไป แห่งชาติและชรานั้น ชื่อว่า มรณะ ตลอดจนถึงสิ้นชีวิต ชื่อว่า สิ้นชาติเป็นมรณะ ประการหนึ่ง อัปปฏิจฉันนมรณะความตายที่เปิดเผย รู้ทั่วกัน ได้แก่ สิ้นชีวิตขาดลมหายใจ ชื่อว่า มรณะ ประการหนึ่ง

ชาติ ชรา มรณะ ทั้ง 3 นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่าเป็นทุกข์ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แต่มีต่อไปว่า โสกะ ความแห้งใจ ปริเทวะ ความบ่นเพ้อร่ำไร ทุกข์ทนลำบากยากใจโทมนัส ความต่ำใจ น้อยใจ อุปายาส ความคับแค้นใจ ว่าเป็นทุกข์แต่ละอย่างๆ

ถ้าเพ่งเนื้อความตามนัยนี้ คงจับอาการของทุกข์ได้เป็น 4 อย่าง คือ โสกะ ปริเทวะ โทมนัส อุปายาส เท่านั้น

ส่วนชาติ ชรา มรณะนั้น เป็นตัวทุกข์ด้วย เป็นเหตุแห่งทุกข์ด้วย ซึ่งว่าเป็นทุกข์นั้น คือเป็นตัวของเราเองที่ว่าเป็นเหตุนั้น คือเป็นสัญญาอดีต เป็นตัวสมุทัย ทุกข์ส่วนแสดงต่อไปคือ อัปปิเยหิสัมปโยคทุกข์ ปิเยหิวิปโยคทุกข์ และยัมปิจฉังนลภติทุกข์ เป็นปกิณณกทุกข์ ย่นทุกข์ทั้งสิ้นลงในอุปาทานขันธ์ คือ ขันธ์ที่มีอุปาทานเท่านั้น ขันธ์จึงเป็นทุกข์

อธิบายว่า เกลียดชังกันและได้อยู่ด้วยกัน ก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ รักกันชอบกัน และได้พลัดพรากจากกันก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นสมประสงค์ ก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์เป็นตัวผล

อาการของทุกข์ก็คือโสกะ ปริเทวะ โทมนัส อุปายาส นั่นเอง

ทุกข์จะเกิดขึ้นก็เพราะความถือเนื้อถือตน ได้แก่ อุปาทานขันธ์นั่นเอง

ทุกข์เป็นของจริงจึงเป็นทุกขอริยสัจอย่างหนึ่ง อธิบายว่า ทุกข์เป็นข้าศึก ถ้าผู้รู้ทุกข์เห็นทุกข์ได้จริง ทุกข์ล้มเลิกไม่ต่อสู้ท่านนั้นอีก จึงชื่อว่า อริโย ผู้ไม่มีข้าศึกภายใน

เนื้อความในทุกข์สมุทัยอริยสัจ ตามนัยพุทธภาษิตทรงแสดงตัณหา 3 คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นสมุทัย คือเป็นเหตุยังทุกข์ให้เกิดขึ้นพร้อม สมุทัยที่ทรงแสดงในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนี้ย่อมาก จะถือเอาเนื้อความได้ด้วยยาก เพราะหน้าตาของตัณหา 3 นี้ย่อมาก จะถือเอาเนื้อความได้ด้วยยาก เพราะหน้าตาของตัณหา 3 เป็นของลี้ลับมาก

ถ้าจะเพิ่งดูหน้าตาของสมุทัยให้กระจ่างควรสังเกตในปฏิจจสมุปบาท จะเพิ่มความเข้าใจในประเภทแห่งสมุทัยขึ้นได้มากทีเดียว คือ ในปฏิจจสมุปบาททรงแสดงอริยสัจเพียง 2 คือ สมุทัยวารหนึ่งนิโรธวารหนึ่งเท่านั้น ความกระจ่างทั้งสองประเภท ในสมุทัยวารทรงแสดงอวิชชาเป็นประธานแห่งสมุทัย

อวิชฺชา อฏฺฐวตฺถุกา อวิชชามีวัตถุ 8 ได้แก่ ไม่รู้ของ 8 อย่างนี้ คือไม่รู้อดีต 1 ไม่รู้อนาคต 1 ไม่รู้ทั้งอดีตอนาคต คือไม่รู้ปัจจุบัน 1 ไม่รู้ทุกขสัจ 1 ไม่รู้สมุทัยสัจ 1 ไม่รู้นิโรธสัจ 1 ไม่รู้มรรคสัจ 1 ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท 1 ชื่อว่า อวิชชา เพราะเป็นอวิชชานี้เองจึงเป็นปัจจัยแก่สังขาร 3 คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร สังขารจึงเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ 6 มี จักขุวิญญาณ เป็นต้น วิญญาณจึงเป็นปัจจัยแก่นามรูป นามรูปเป็นปัจจัยแก่อายตนะ 6 มีจักขุเป็นต้น อายตนะเป็นปัจจัยแก่ผัสสะ 6 มี จักขุผัสสะ เป็นต้น ผัสสะเป็นปัจจัยแก่เวทนา 3 คือ สุข ทุกข์ อุเบกขา เวทนาเป็นปัจจัยแก่ตัณหา 3 คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยแก่อุปาทาน 4 มี กามุปาทาน เป็นต้น อุปาทานเป็นปัจจัยแก่ภพ 2 ภพเป็นปัจจัยแก่ชาติ 2 ชาติเป็นปัจจัยแก่ชรา 2 ชราเป็นปัจจัยแก่มรณะ 2 แต่สังขารมารถึงมรณะเป็นอาการของอวิชชา 12 ประการ

เหล่านี้แหละเป็นลักษณะของสมุทัย ซึ่งว่าเป็นปัจจัยแก่กันและกันนั้นไม่ใช่เหตุ เป็นแต่เพียงอุดหนุนเหตุให้มีกำลังเท่านั้น คือ สังขารวิญญาณ เป็นต้น จนถึงมรณะเป็นตัวเหตุอยู่แล้ว เพราะอวิชชาเป็นผู้อุดหนุน ธรรมเหล่านั้นจึงตั้งอยู่ได้ ถ้าตนของเรายังเป็นสังขารวิญญาณเป็นต้นอยู่ตราบใด ทุกข์ตัวผล คือ โสกะ ปริเทวะ โทมนัส อุปายาส ก็มีอยู่ตราบนั้น เพราะทุกข์เป็นผลของสมุทัย

เมื่ออวิชชาดับอันเดียวเท่านั้น สังขารวิญญาณเป็นต้น จนถึงมรณะเป็นตัวเหตุอยู่แล้ว เพราะอวิชชาเป็นผู้อุดหนุน ธรรมเหล่านั้นจึงตั้งอยู่ได้ ถ้าตนของเรายังเป็นสังขารวิญญาณเป็นต้นอยู่ตราบใด ทุกข์ตัวผลคือ โสกะ ปริเทวะ โทมนัสอุปายาส ก็มีอยู่ตราบนั้น เพราะทุกข์เป็นผลของสมุทัย เมื่ออวิชชาดับอันเดียวเท่านั้น สังขารวิญญาณเป็นต้น จนถึงมรณะดับตามกันไปหมด ความดับสมุทัยนี้ เป็นนิโรธสัจ

เมื่อสมุทัยดับหมดแล้ว ความไม่มีทุกข์ คือ ไม่มีโสกะปริเทวะ โทมนัส อุปายาส ซึ่งเป็นผลของนิโรธอริยสัจ ก็มีขึ้นพร้อม ด้วยประการฉะนี้

ปัญญาที่รู้จักทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นองค์สัมมาทิฏฐิ เป็นมรรคอริยสัจ แสดงเนื้อความในสัจจะทั้ง 4 โดยย่นย่อพอได้ใจความด้วยประการฉะนี้ เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงแสดงอริยสัจทั้ง 4 ซึ่งเป็นอาธารวิสัย ที่เป็นไปแห่งสัมมาทิฏฐิซึ่งเป็นประธานแห่งมัชฌิมาปฏิปทานั้นด้วยประการฉะนี้แล้ว พระองค์ตรัสญาณทัสสนะของพระองค์อันเกิดขึ้นแล้วในอริยสัจทั้ง 4 นั้น สัจจะละ 3 ๆ คือ สัจจญาณ 1 กิจจญาณ 1 กตญาณ 1 โดยภาษิตว่า อิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจนฺติ เม ภิกฺเขเว เป็นอาทิ มีเนื้อความว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา วิชชาความรู้แจ้งได้เกิดแล้วแก่เรา แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ว่าอันนี้อริยสัจคือทุกข์ อันนี้อริยสัจคือสมุทัย อันนี้อริยสัจคือนิโรธ อันนี้อริยสัจคือมรรคดังนี้ ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ในกาลก่อน ญาณจักษุที่รู้ชัดรู้แจ้งสว่าง ว่าอันนี้ทุกขอริยสัจ อันนี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ อันนี้ทุกขนิโรธอริยสัจ อันนี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ดังนี้ เป็นสัจจญาณที่ 1 ในทุกข์ ในสมุทัย ในนิโรธ ในมรรค อนึ่ง ทุกขอริยสัจนั้น อันบุคคลพึงกำหนดรู้ทุกขสมุทัยอริยสัจนั้น อันบุคคลพึงมละเสีย ทุกขนิโรธอริยสัจนั้นอันบุคคลพึงทำให้แจ้ง ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้น อันบุคคลพึงทำให้เกิดให้มี ดังนี้ เกิดขึ้นแก่เราแล้วในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ในกาลก่อนอันนี้เป็นกิจจญาณที่ 2 ในทุกข์ ในสมุทัย ในนิโรธ ในมรรค อนึ่ง ทุกขอริยสัจนั้น เราได้กำหนดรู้แล้วทุกขสมุทัยอริยสัจนั้น เราได้มละเสียแล้ว ทุกขโรธอริยสัจนั้น เราได้ทำให้แจ้งแล้ว ทุกขโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้น เราได้ทำให้เกิดให้มีแล้ว ดังนี้ เกิดขึ้นแก่เราแล้ว ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ในกาลก่อน อันนี้เป็นกตญาณที่ 3 ในทุกข์ ในสมุทัย ในนิโรธ ในมรรค

สมเด็จพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงพระญาณจักษุปัญญา วิชชาความรู้แจ้ง แสงสว่างละ 3 ๆ ใน 4 อริยสัจด้วยประการฉะนี้

ข่าวล่าสุด

"ธรรมนัส” เผย 25 ธ.ค.นี้ กล้าธรรมเปิดตัวสส.ทั้งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์