เจ้าจอมก๊กออในรัชกาลที่ 5 (จบ)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวิตกห่วงใยในอนาคตของบรรดาเจ้าจอมก๊กออ 4 พี่น้อง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวิตกห่วงใยในอนาคตของบรรดาเจ้าจอมก๊กออ 4 พี่น้อง ที่ไม่มีโอรสธิดาว่าจะขาดที่พึ่งหากเมื่อ “สิ้นพระชนม์แล้ว” ถึงกับมีพระราชปรารภ บอกกล่าวความในพระราชหฤทัยต่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ด้วยความห่วงใย เมื่อเจ้าจอมทั้งหลายจะต้องออกไปอยู่นอกวังว่า
“ลงปลายคงจะต้องเป็นไปอยู่นอกวัง การอยู่นอกวังนั้นถึงเวลาฉันจะทอดธุระว่า เราตายไปไม่ได้เลี้ยงเขาๆ ไม่มีลูกเต้าก็ต้องมีผัวอยู่เอง ไม่อัศจรรย์อะไรเช่นนี้จึงจะชอบ ฉันก็ได้พยายามที่จะทอดธุระเช่นนั้นอยู่บ้าง แต่ไม่พ้นจากความนึกหวงแหนแลนึกละอายว่าเราเลี้ยงดูเขาออกหน้ามาก ถ้าเป็นเช่นนั้นคงจะโด่งดังเสียจริง ชวนให้คิดเห็นไปว่าเผื่อจะแก้ไขระงับได้บ้าง แต่ไม่ได้มั่นหมายเป็นแน่เลย...”
จากความในพระราชหฤทัยดังนี้เอง ที่ทำให้พระองค์ทรงดำริจะทำบ้านต้นไว้สักแห่งที่ จ.เพชรบุรีไว้เป็นที่ประทับ โดยจะให้เป็นบ้านเล็กขนาดที่คนธรรมดาจะปกครองได้ เพื่อต่อไปในภายภาคหน้าหากสิ้นพระองค์แล้วก็จะพระราชทานบ้านต้นนี้แก่เจ้าจอมก๊กออ ให้อยู่อาศัยปกครองกันต่อไป ต่อมาภายหลังเมื่อพระองค์เสด็จกลับจากการเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2450 แล้วก็ทรงมีพระราชประสงค์มีพระราชวังนอกพระนครเพื่อประทับค้างแรมได้สะดวก พระองค์จึงทรงเลือก จ.เพชรบุรี ที่นอกจากจะเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของบรรดาเจ้าจอมก๊กออที่พระองค์ทรงโปรดปรานแล้ว ยังทรงเห็นว่าสภาพภูมิประเทศ ดินฟ้าอากาศของ จ.เพชรบุรีนั้น เหมาะสมที่จะเป็นทำเลที่ตั้งของพระราชวังที่ประทับในยามหน้าฝน พระองค์จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการซื้อที่ดินริมแม่น้ำเพชรบุรีจากชาวบ้านในเขตบ้านปืน โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นแม่งานควบคุมการก่อสร้าง และมีพระบัญชาให้ คาร์ล ซีกฟรีด เดอห์ริง (Karl Siegfried Dohring) ผู้เคยออกแบบ วังบางขุนพรหม วังวรดิศ และวังพระองค์เจ้าดิลกนพรัฐมาแล้ว เป็นสถาปนิกออกแบบ
นายเดอห์ริงได้เลือกผู้ร่วมงานทั้งสถาปนิก วิศวกร และมัณฑนากรเป็นชาวเยอรมันทั้งสิ้น เพื่อการทำงานให้มีศิลปะเป็นแบบเดียวกัน พระที่นั่งนี้จึงมีรูปแบบศิลปะตะวันตกอย่างเต็มตัว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ที่ต้องการพระตำหนักแบบโมเดิร์นสไตล์ สถาปนิกจึงได้ออกแบบมาในลักษณะสถาปัตยกรรมแบบเยอรมัน โดยได้แบบแผนมาจากตำหนักในพระราชวังของพระเจ้าไกเซอร์แห่งเยอรมันที่ทรงเคยประทับ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2453 ระหว่างการดำเนินการออกแบบและก่อสร้างพระราชวังแห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปประทับพักแรมที่ จ.เพชรบุรี อยู่เสมอ และทุกครั้งที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ก็มักจะทรงชักชวนสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถให้โดยเสด็จด้วย หากแต่ทรงได้รับการปฏิเสธจากพระมเหสี พระองค์จึงเสด็จไปเพียงลำพังกับเจ้าจอมก๊กออ
พระราชวังบ้านปืนที่ จ.เพชรบุรี มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบยุโรป พระตำหนักใช้ลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบบาโรก (Baroque) และแบบอาร์ต นูโว (Art Nouveau) หรือที่เยอรมันเรียกว่า จุงเกนสติล (Jugendstil) ตัวพระตำหนักจะเน้นความทันสมัยโดยจะไม่มีลายปูนปั้นวิจิตรพิสดารเหมือนอาคารในสมัยเดียวกัน พระตำหนักหลังนี้จะเน้นในเรื่องความสูงของหน้าต่าง ความสูงของเพดานซึ่งกว้างเป็นพิเศษ ทำให้พระตำหนักดูใหญ่โต โอ่อ่า สง่างาม และตระการตา
แผนผังของตัวอาคารสร้างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมสวนหย่อม มีสระน้ำพุตั้งอยู่ตรงกลาง ส่วนที่ประทับเป็นตึกสองชั้นขนาดใหญ่ หลังคาทรงสูงรูปโดม ภายในเป็นโถงสูงมีบันไดโค้งขึ้นสู่ชั้นสองซึ่งจัดเป็นจุดเด่นของพระตำหนักเพราะรวมสิ่งน่าชมไว้หลายหลาก เช่น เสาที่ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบและตกแต่งด้วยโลหะขัดเงา เสาเหล่านี้แล่นตลอดจากพื้นจดเพดานชั้นสอง และประดับด้วยกระเบื้องเขียวเข้ากันกับบริเวณโดยรอบโถงบันได ที่หัวเสาตามราวบันไดโค้งมีตุ๊กตากระเบื้องรูปเด็กในอิริยาบถต่างๆ ประดับไว้ รอบบริเวณโถงบันไดชั้นบนยังมีกรอบลูกไม้กระเบื้องเคลือบประดับตามช่องโดยรอบอีกด้วย
พระตำหนักหลังนี้ยังมีสิ่งที่น่าชมอีกมาก กล่าวคือ การตกแต่งภายในแต่ละห้องให้มีรูปลักษณ์แตกต่างกันไปทั้งสีสันและวัสดุที่ใช้ เช่น บริเวณโถงบันไดใช้โทนสีเขียว ห้องเสวยใช้โทนสีเหลือง ตกแต่งช่องประตูด้วยเหล็กดัดแบบอาร์ต นูโว และประดับผนังด้วยแผ่นกระเบื้องเคลือบสีเหลืองสด ตัดกรอบด้วยกระเบื้องเขียวเป็นช่องๆ ตามแนวยืน โดยกระเบื้องประดับผนังมีลวดลายนูนเป็นรูปสัตว์และพรรณพืชต่างๆ แทรกอยู่เป็นระยะๆ ห้องพระบรรทมใช้โทนสีทอง โดยตกแต่งเสาในห้องด้วยแผ่นโลหะสีทองขัดเงาดุนลาย หัวเสาเป็นภาพเขียนแจกันดอกไม้หลากสี บนพื้นครึ่งวงกลมสีทอง ดูสง่างามและมลังเมลือง
การก่อสร้างพระที่นั่งแห่งนี้ มาสำเร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี 2461 และพระราชทานนามว่า “พระที่นั่งศรเพ็ชรปราสาท” และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนนาม “พระราชวังบ้านปืน” โดยพระราชทานนามพระราชวังใหม่ว่า “พระรามราชนิเวศน์” นอกจากนี้ พระองค์ยังโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงดำเนินการหล่อรูปปั้นพระนารายณ์ทรงปืนเพื่อนำมาประดิษฐานไว้ยังหน้าพระที่นั่ง (ปัจจุบันรูปปั้นนี้ย้ายมาไว้ยังหน้าพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร) แต่คนทั่วไปจะเรียกติดปากว่าพระราชวังบ้านปืนตามชื่อเดิมของถิ่นที่อยู่นั่นเอง แม้ว่าพระรามราชนิเวศน์จะสร้างเสร็จในรัชกาลที่ 6 แต่พระองค์ก็มิได้เสด็จประพาสมายังพระราชวังนี้บ่อยนัก จะเสด็จมาประทับเพื่อทอดพระเนตรการซ้อมเสือป่าบ้าง แต่ก็น้อยครั้งมาก พระราชวังแห่งนี้จึงเริ่มทรุดโทรมลงเรื่อยๆ
ครั้นมาถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ปรับพระราชวังนี้เป็นสถานศึกษาของเหล่าครูในแขนงวิชาชีพต่างๆ มาจนกระทั่งวิชาชีพเหล่านี้แข็งแกร่งขึ้นจนย้ายออกไปตั้งอยู่ที่อื่นได้ พระราชวังนี้จึงถูกปล่อยให้ทรุดโทรมลงอีกครั้ง หลังจากนั้น พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระราชวังแห่งนี้เป็นโรงเรียนวังพระรามราชนิเวศน์ โรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรม โรงเรียนฝึกหัดครูผู้กำกับลูกเสือในพระบรมราชูปถัมภ์ และโรงเรียนประถมวิสามัญหญิง จนกระทั่งโรงเรียนเหล่านี้ย้ายออกไป พระราชวังบ้านปืนจึงถูกทิ้งให้รกร้างต่อไปอีก
จนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ฝ่ายทหารได้ใช้พระราชวังนี้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการทหาร ปัจจุบันโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้เป็นที่ตั้งของจังหวัดทหารบกเพชรบุรี และต่อมาได้เป็นมณฑลทหารบกที่ 15 และได้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และศิลปะของ จ.เพชรบุรี โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน โปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระราชวังบ้านปืนนี้เป็นหน่วยบัญชาการของทหารบก และเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะของ จ.เพชรบุรีด้วย แต่หากประชาชนจะขอเข้าชมก็ต้องได้รับการอนุญาตจากผู้บังคับการจังหวัดทหารบก กองพันที่ 3 กรมทหารราบที่ 11 เพื่อขอเข้าชมอย่างไม่เป็นทางการเสียก่อน
พระราชวังบ้านปืนริมแม่น้ำเพชรบุรี ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับในยามหน้าฝน ด้วยความรักและผูกพันที่ทรงมีต่อเจ้าจอมก๊กออแห่งสกุล บุนนาค สร้างยังไม่ทันแล้วเสร็จพระองค์ก็เสด็จสวรรคตไปเสียก่อน พระราชวังบ้านปืนหรือพระรามราชนิเวศน์ จึงกลายเป็นอดีตที่ผ่านเลยเหลือไว้เพียงคุณค่าทางศิลปะสถาปัตยกรรมอันงดงามของพระราชวัง ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้ชื่นชมและศึกษากันต่อไป


